CPF ลุ้นเบรกทำนิวไฮ!

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2010

บล.เอเชียพลัส แนะนำหุ้นเด่นวันนี้
CPF เมื่อ 23 มิ.ย.53 ฝ่ายวิจัยก็วางไว้ว่าราคาจะไปถึง 22 บาทหลังจากนั้นราคาก็แกว่งแบบขึ้นเรื่อยๆเรียบๆมีแนวโน้มไปต่อ 22 บาทได้เชื่อว่าไม่นานราคาจะ Break ทำ New High เพื่อมาถึงยังเป้าที่วางเอาไว้
แนะนำ ซื้อ และตั้งจุดตัดขาดทุนที่ 18.50 บาท โดยมีแนวรับอยู่ที่ 20.00 บาท และแนวต้านอยู่ที่ 22.00 บาท

CPF บวกรับโบรกปรับเพิ่มเป้าหลังกำไรปีนี้เติบโตมาก

30 มิถุนายน 2010

หุ้น บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF) บวก 0.50% ด้วยมูลค่าซื้อขายคึกคัก ขณะที่โบรกเกอร์ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปีนี้ หลังมองกำไรสุทธิปีนี้เติบโตมาก จาก ราคาเนื้อสัตว์ที่สูง และการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ

เช้านี้หุ้น CPF ปรับขึ้น 0.10 บาท มาที่ 20.20 บาท ระหว่างวันราคา หุ้นปรับขึ้นสูงสุดที่ 20.30 บาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นเล็กน้อย 0.17%

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้ของ CPF อีก 9% และ ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 24 บาท จากเดิม 20 บาท โดยคาดว่ากำไรสุทธิใน ไตรมาส 2/53 จะเติบโต 31% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกัน ปีก่อน จากราคาเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วน 19% ของ ยอดขายรวม ก็เติบโตดีเช่นกัน

ขณะที่ บริษัทกำหนดสัญญาราคาข้าวโพดไว้พอใช้ถึงเดือน ส.ค.นี้ และ กากถั่วเหลืองพอใช้ถึงเดือน พ.ย.นี้ ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/53 จะสูงเป็นประวัติการณ์ด้วย

ซีพีเอฟและซีพีกวาด8 รางวัล จป. จากทั้งหมด 9 รางวัล มากสุดในประเทศไทย พร้อมยืนยันความสำเร็จ กับรางวัลความปลอดภัยรวม100 รางวัล

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี รับรางวัล “ดีเด่นด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ระดับประเทศ ประจำปี 2553” จัดโดยกระทรวงแรงงาน นับเป็นกลุ่มบริษัทที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในประเทศไทยแทบทุกด้าน ได้แก่ด้านเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ด้านสถานประกอบกิจการดีเด่น และด้านรางวัลความปลอดภัยรวม

นายวีรชัย รัตนบานชื่น รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟและซีพีสามารถคว้ารางวัล “สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” และรางวัล“เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ดีเด่นระดับประเทศ” มากที่สุดในประเทศไทยจำนวน 91 รางวัล และ 8 รางวัลตามลำดับนอกจากนี้ยังคว้ารางวัลคณะกรรมการดีเด่นด้านความปลอดภัย อีก 1 รางวัล รวมรางวัลความปลอดภัยทั้งสิ้น 100 รางวัล จากนโยบายของบริษัทที่คำนึงถึงหลักปฏิบัติด้านความปลอดภัยเป็นสำคัญ ตลอดจนมีการติดตามและรายงานผลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ซีพีเอฟและซีพี ได้รับรางวัลนี้เป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้นอกจากการรับรางวัลมากที่สุดในประเทศไทยแล้วบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัด (โรงงานพิษณุโลก) ได้เข้ารับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 10 และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำ บ้านพรุ จังหวัดสงขลา) ยังกวาดรางวัลในทุกประเภทอีกด้วย
“ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่ซีพีเอฟประสบความสำเร็จการที่เราได้รับรางวัลจป.มากที่สุดในประเ ทศเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีต่อพนั� ��งาน ที่ไม่เพียงส่งผลดีต่อพนักงานหรือบุคลากรในด้านขวัญและกำลังใจในการทำงานทำให้การทำงานเ� ��็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังส่งผลเป็นลูกโซ่ไปยังกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพทั้งต่อระบบการผลิตและผลิตภัณฑ์ ท้ายสุดแล้วเมื่อผลิตสินค้าได้คุณภาพดี ก็จะย้อนกลับมาสู่ผู้บริโภคที่จะได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพ”นายวีรชัยกล่าวและว่า โรงงานทุกแห่งของซีพีเอฟต้องผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิตในระดับสากลอาทิ GMP, HACCP, ISO 9001, IFS, BRC Global Standard-Food, HALAL, ISO 14001-Environment Management System, Social Accountability (SA 8000), รวมถึง Thai Labor Standard (มาตรฐานแรงงานไทย-มรท), OHSAS 18001 (Occupational Health and Safety System) หรือ ACC (Aquaculture Facility Certification) และทุกแห่งจะปฏิบัติตามกฏหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด./

CPFกระทบสิทธิGSPน้อยชี้ส่งออกกุ้งไปสหรัฐแค่1%แนะซื้อเป้าหมาย24.30บ.

CPF ได้รับผลกระทบน้อยกรณีถูกตัดสิทธิจีเอสพีกุ้งปรุงแต่งและแปรรูปจากไทยไปสหรัฐ เหตุมียอดส่งออกกุ้งไปสหรัฐเพียงแค่ 20% ของยอดส่งออกกุ้งรวม หรือคิดเป็นเพียงแค่ 1% ของยอดขายทั้งหมด โบรกฯเชียร์ซื้อเป้าหมาย 24.30 บาท คาดกำไรสุทธิปี 2553 แตะ 1.49 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากประมาณการเดิม 8% สะท้อนกำไร Q2/53 และแนวโน้มครึ่งปีหลังดี

ซีพี ขยายการลงทุนในจีนนับแสนล้านบาทในกิจการค้าปลีก พัฒนาอสังหาริมทรัพย์

นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ (ร่วม) ซูเปอร์แบรนด์มอลล์ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยว่า ในกิจการค้าปลีกตั้งเป้าจะขยายสาขาห้างโลตัสซูเปอร์เซ็นเตอร์อีก 1,000 สาขา ภายในเวลา 10 ปี เงินลงทุนแต่ละสาขาประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 160 ล้านบาท
ปัจจุบัน โลตัสซูเปอร์เซ็นเตอร์มีสาขา 73 แห่ง ในเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และกว่างโจว
เป้าหมายในการขยายสาขา นอกจากจะทำให้เกิดเครือข่ายค้าปลีกขนาดใหญ่แล้ว ยังเป็นช่องทางในการขายสินค้าเครือซีพี และสินค้าของไทยด้วย อาทิ การนำกุ้งจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(ซีพีเอฟ) มาเปิดตลาดในประเทศจีน โดยมียอดขายเติบโตถึง 400%
ทั้งนี้ จุดสำคัญในการขยายสาขาของโลตัสคือการหาทำเล สร้างคน และพยายามเพิ่มมูลค่า หาจุดแข็งให้แตกต่างจากคู่แข่ง
ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะขยายการลงทุนไปอีก 3 พื้นที่ หลังจากที่ลงทุนร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่นเซี่ยงไฮ้ พัฒนาที่ดิน 2 ตารางกิโลเมตรออกขาย จากนั้นซีพีได้สร้างห้างสรรพสินค้าทันสมัยขึ้นมา ขนาด 2.5 แสนตารางเมตร ชื่อว่า ซูเปอร์แบรนด์มอลล์
ทั้งนี้ ซีพีมองพื้นที่ 3 แห่ง อยู่ในเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน และมณฑลชานตง
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการพัฒนาจะแตกต่างจากเดิม โดยจะสร้างชุมชนในแนวสูง คอนโดมิเนียม โรงแรม สำนักงาน และห้างสรรพสินค้า เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว โดยจะมีรายได้จากการขายคอนโดมิเนียม และรายได้จากค่าเช่าสำนักงาน โรงแรม และจะเป็นการสร้างชุมชนที่เป็นลูกค้าห้างสรรพสินค้าอีกด้วย
สำหรับที่เจรจาแล้วคือ ที่มณฑลเหอหนาน เงินลงทุนแต่ละแห่งประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

CPF ส่งกุ้งแบรนด์ซีพีตีตลาดแดนมังกร ปลื้มกระแสตอบรับดี-โดนใจผู้บริโภค

นายพิชัยยุทธ์ เตชะพงษ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านศูนย์กระจายสินค้าโลจิสติกส์ บริษัท
เซี่ยงไฮ้ โลตัส ซูเปอร์มาร์เก็ต เชน สโตร์ จำกัด ดูแลและพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อให้เป็นพันธมิตรกับ
บริษัทในระยะยาว เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพี
เอฟ ผู้ผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัยสู่ครัวโลก ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้
มาตรฐานสากล สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อนำผลิตภัณฑ์อาหารและสินค้าคุณภาพ
แบรนด์ CP (ซีพี) เข้ามาจำหน่ายในสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นการเปิดตลาดและตอบสนองความต้อง
การของผู้บริโภคชาวจีน

ซีพีเอฟ ยิ้มรับอาหารแบรนด์ CP ถูกใจผู้บริโภคในงานเซี่ยงไฮ้เวิล์ดเอ็กซ์โป อร่อย สะอาด สะดวก ตอบโจทย์ลูกค้า คาดจบงานยอดขายเกิน 150 ล้านบาท

นายอูรูบิน วิลสัน (Mr.Aurubind Wilsun) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (AVP Director of Culinary Development Executive Chef – CP FOOD) เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ใช้เงินลงทุนกว่า 40 ล้านบาท เปิด CP Food Pavilion (ซีพี ฟู้ด พาวิลเลี่ยน) โดยนำอาหารไทยและอาเซียนไปจำหน่ายแก่ผู้เข้าชมงาน เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์อาหารภายใต้แบรนด์ CP ผ่านงานแสดงนิทรรศการระดับโลก – The World Exposition Shanghai China 2010 หรือ World Expo 2010 Shanghai China ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 31 ตุลาคม 2553 ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
“ผลิตภัณฑ์อาหารแบรนด์ CP รวมทั้งวัตถุดิบสำหรับการปรุงอาหารทั้งหมด จะถูกจัดส่งจากประเทศไทยมายังจีน จากนั้นจะส่งอาหารทั้งหมดไปยังโรงงาน 4 แห่ง เพื่อประกอบเป็นอาหารและปรุงรสชาติ แล้วจัดส่งมาจำหน่ายใน CP Food Pavilion แห่งนี้ ซึ่งอาหารไทยทุกๆ เมนู ต่างเป็นที่นิยมของผู้บริโภค เนื่องจากเรามีการปรับรสชาติ เช่น การลดความเผ็ดลงบ้าง เพื่อให้ถูกปากลูกค้าทุกชนชาติยิ่งขึ้น โดยในแต่ละวันจะมีลูกค้าเข้ามาในร้านของเราประมาณ 2-3 พันคน สร้างรายได้เฉลี่ยเกือบ 2 แสนหยวนต่อวัน หรือราว 1 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเมื่อจบงานจะมียอดขายรวมประมาณ 150 ล้านบาท” นายอูรูบิน กล่าว
ทั้งนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ นำผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือฯ ทั้งในประเทศไทยและจีน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพปลอดภัยแบรนด์ CP ที่ผลิตภายใต้มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคในตลาดจีนและตลาดโลกที่มาร่วมงาน เพราะเป็นที่ทราบดีว่างานเวิล์ดเอ็กซ์โป เป็นงานมหกรรมระดับโลกที่มีความยิ่งใหญ่และมีผู้ให้ความสนใจเข้าชมงานจากทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลของจีนคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 70 ล้านคน ดังนั้นจึงนับเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ CP เป็นที่รู้จักและยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็น ครัวของโลก อีกทางหนึ่ง
CP Food Pavilion ตั้งอยู่ในโซน B : Southeast Asia ใกล้กับศาลาไทย (Thai Pavilion) เป็นอาคาร 2 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นร้านอาหารประเภท Fast Food ที่จำหน่ายอาหารจานด่วน อาทิ เกี๊ยวกุ้ง ทอดมันกุ้ง เป็ดย่าง ไส้กรอก เบอร์เกอร์ รวมทั้งขนมไทย ได้แก่ ข้าวเหนียวแดงเปียก เต้าส่วน กล้วยบวชชี ข้าวเหนียวทุเรียน สำหรับชั้นบนจะเป็นร้านอาหารประเภท Dining Style ที่คัดสรรอาหารแสนอร่อยหลากหลายเมนูมาให้เลือก และยังได้จัดเป็นอาหารชุด (set) และอาหารตามสั่ง เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกรับประทาน เช่น เกี๊ยวกุ้งต้มยำ หมูสามชั้นน้ำแดง ขาเป็ดน้ำเค็ม แกงเขียวหวาน กระเพราไก่ และขนมไทยต่างๆ ซึ่งอาหารทุกเมนูต่างได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

CPF คาดปันผล H1 สูงกว่างวดปีก่อน,เล็งลงทุนธุรกิจไก่ในเคนย่าปี 54
โดย มนันพัทธ์ ธนนันท์พร,พลอย เทน เคท

กรุงเทพฯ--2 ส.ค.--รอยเตอร์

บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF) คาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งแรกปีนี้ สูงกว่างวดเดียวกันปีก่อนที่จ่าย 0.23 บาท/หุ้น ขณะที่คงเป้ายอดขายปีนี้ที่ราว 1.8 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิปีนี้จะโตไม่ต่ำกว่า 20%

ผู้บริหารเผย ปี 54 เล็งจะเข้าไปลงทุนทำธุรกิจไก่ครบวงจรในประเทศเคนย่า คาดจะใช้เงินลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์
"(ปันผลระหว่างกาล) ปีนี้จ่ายสูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนแน่นอน เป็นนโยบายของทางบริษัทที่เมื่อมีกำไรสุทธิมาก ก็ต้องจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากด้วย" นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวให้สัมภาษณ์กับ "รอยเตอร์" เขา กล่าวว่า CPF มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ไม่น้อยกว่า 50% กำไรสุทธิ
CPF เป็นหนึ่งในผู้นำในการผลิตและส่งออกเนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป ในภูมิภาคเอเซีย โดยครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในประเทศไทย มีบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 47.9% นายอดิเรก กล่าวว่า ยอดขายในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากราว 1.68 แสนล้านบาทในปีก่อน และกำไรสุทธิปีนี้น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ตามยอดขายที่จะเพิ่มขึ้นในปี 52 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.02 หมื่นล้านบาท
เขา กล่าวว่า บริษัทมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนของอาหารพร้อมทาน อาหารแปรรูปมากขึ้น เพื่อที่จะขายในประเทศ และต่างประเทศ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อกระจายความเสี่ยง ประกอบกับราคาวัตถุดิบ ในธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์มีความผันผวนมาก และจากประสบการณ์วิกฤติไข้หวัดนกในปี 47 ทำให้มีการบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง
"ปีนี้ จะเป็นปีที่ดีปีหนึ่งของ CPF หลักๆ มาจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ จากอดีตที่โฟกัสเรื่องของ feed และ farm ค่อนข้างเยอะ...ปีนี้จะเป็นปีที่เราปูฐานของ food มากขึ้น" นายอดิเรก กล่าว

เขายังตั้งเป้า สัดส่วนยอดขายที่มาจากอาหาร จะโตใกล้ระดับ 20% จากปีก่อนที่อยู่น้อยกว่า 5% ขณะที่ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ จะมีสัดส่วน 45% จากเดิม 55-60% และธุรกิจอาหารสัตว์ 35% ยังเหมือนเดิม


***แผนลงทุนปีหน้า

นายอดิเรก กล่าวอีกว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนลงทุนในธุรกิจไก่ครบวงจร ในประเทศเคนย่า มีกำลังการผลิตประมาณ 5 แสนตัว/สัปดาห์ โดยจะถือหุ้นทั้ง 100% ในบริษัทที่ตั้งขึ้น คาดว่าจะใช้เงินลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ "ตอนนี้เรากำลังรอเงื่อนไข ในส่วนของที่ดินกับทางรัฐบาล เราอยากไปปูพื้นฐานที่นั่น แต่เท่าที่เราไปสำรวจมา ราคาอาหารที่นั่นแพงมาก ซึ่งเราเห็นโอกาสที่จะทำได้ ถูกกว่านี้ และมีเทคโนโลยีที่จะทำได้" นายอดิเรก กล่าว
สาเหตุที่ลงทุนในประเทศดังกล่าว เนื่องจากมองว่า ตลาดในทวีปแอฟริกามีศักยภาพและเป็นตลาดที่ใหญ่ เนื่องจากมีประชากรในทวีปแอฟริกา ประมาณ 400-500 ล้านคน และในปัจจุบันมีคู่แข่งไม่มาก

นายอดิเรก กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการลงทุนในต่างประเทศแล้ว 9 ประเทศ เช่น อินเดีย มาเลเซีย ตุรกี เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นต้น "ในส่วนของการลงทุนต่างประเทศ ตลาดเฉพาะในเมืองไทยจะมีลิมิต ดังนั้นเราเห็นความจำเป็นต้องขยายไปต่างประเทศ...ฐานของต่างประเทศเพิ่งจะเริ่มต้นใน value chain ของตัวอาหาร เราคิดว่ายังมีโอกาสอีกมาก ในการ build growth" นายอดิเรก กล่าว

สำหรับงบลงทุนปีนี้ยังคงอยู่ที่ 6 พันล้านบาท เป็นการลงทุนในประเทศและต่างประเทศโดยจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งมีเพียงพอ ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ที่ระดับ 1.5 หมื่นล้านบาท และสัดส่วนหนี้สินต่อทุนในปัจจุบันอยู่ที่ 0.6 เท่า "คนของเรากว่า 60 ล้านคนในวันนี้มีลิมิตในการกิน เพราะฉะนั้นฐานที่เราวางไว้ใน 9 ประเทศ มันจะไปสร้างรายได้ ได้มากกว่าในระยะยาว" เขา กล่าวนอกจากนึ้ ยังมีแผนที่จะขยายสาขาของ CP Fresh Mart ในประเทศ ให้ได้เกือบ 2 พันสาขาใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีเกือบ 600 สาขา เขา กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายว่า สัดส่วนรายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมาจากการ ส่งออก 15-20%, จากการลงทุนธุรกิจในต่างประเทศ 40% และธุรกิจในประเทศ 40% ขณะที่ในปีนี้คาดว่า ธุรกิจส่งออกจะอยู่ที่ 15%, ธุรกิจลงทุนในต่างประเทศ 25% และธุรกิจในประเทศ 60%

เขา กล่าวถึง มุมมองตลาดบริโภคเนื้อสัตว์ และอาหารแปรรูป ว่าที่ผ่านมา ความต้องการจะมาจากตลาดใหญ่ 3 แห่งในอเมริกา,ยุโรปและญึ่ปุ่น ที่มีกำลังซื้อ แต่ในอนาคต ประเทศจีน รัสเซีย อินเดีย รวมไปถึงประเทศในกลุ่มอาเซียน จะมีศักยภาพมากขึ้นราคาหุ้น CPF พักเที่ยง บวก 0.41% มาที่ 24.20 บาท--จบ--

CPF ปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มโอนกิจการซีพีฟู้ด ให้ซีพีเอฟผลิตอาหาร

บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัท ซี.พี.ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด (CP FOOD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ CP FOODจะดำเนินการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด (CPFFP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งที่บริษัทฯ ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ CPFFP และ CP FOOD จะจดทะเบียนเลิกบริษัทและชำระบัญชีภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2553
ทั้งนี้ การโอนกิจการดังกล่าวเป็นการโอนกิจการ ซึ่งได้รับการยกเว้นรัษฎากร ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการควบเข้ากัน หรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2542 และวันที่ 10 ตุลาคม 2545 ในการนี้ CP FOOD จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคม 2553 เพื่อพิจารณาลงมติอนุมัติในเรื่องดังกล่าว
อนึ่ง การโอนกิจการข้างต้นเป็นการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจภายในกลุ่ม CPFจึงไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของกลุ่ม CPF แต่อย่างใด

CPFแนวต้าน28บาท รับกำไร4.22พันล้าน

ผ่าน 25 บาทวิ่งฉลุย!! สเปรดละ 25 สต.เคาะ 4 ช่องขึ้น 1 บาท

CPF วิ่งขึ้นรับสเปรดใหม่ 0.25 บาท หลังราคายืนเหนือ 25 บาท เชื่อนับจากนี้ราคาวิ่งฉลุย เหตุเคาะแค่ 4 ช่องถึง 1 บาท ต่างจากเดิมต้องเคาะถึง 10 ช่อง โบรกฯแนะนำซื้อลงทุนให้แนวต้าน 28 บาท ขานรับไตรมาส 2 กำไรพุ่ง 4,255 ฃ้านบาท เพิ่มขึ้น 32% ปันผลครึ่งปี 0.44 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (9 ส.ค.) ราคาหุ้นบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ CPF มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น ราคาหุ้นระหว่างวันปรับขึ้นสูงสุด 25.75 บาท ก่อนปิดตลาด 25.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,575.68 ล้านบาท

จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น CPF ที่สามารถยืนเหนือ 25 บาทได้นั้นทำให้มีผลต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นต่อไปในอนาคต เนื่องจากสเปรดการปรับตัวแต่ละช่องของหุ้นที่มีราคาตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไปจะปรับตัวช่องละ 0.25 บาท ทำให้การซื้อหุ้นไม่ต้องมาก ก็สามารถทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่อยู่ต่ำกว่า 25 บาท

โดยการซื้อหุ้นที่ต่ำกว่า 25 บาท ที่มีสเปรดช่องละ 0.10 บาท กว่าจะปรับตัวขึ้นมาบวก 1 บาท ต้องซื้อหุ้นถึง 10 ช่อง แต่ถ้าหากราคาหุ้นยืนเหนือ 25 บาท การซื้อหุ้นเพียงแค่ 4 ช่อง ก็สามารถทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นบวก 1 บาทได้เหมือนกัน จะทำให้ใช้เงินและซื้อหุ้นปริมาณที่น้อยกว่าราคาหุ้นต่ำกว่า 25 บาท

"สเปรดราคาหุ้น 25 บาทขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นช่องละ 0.25 บาท ขณะที่ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่า 25 บาท จะเหลือสเปรดช่องละ 0.10 บาท ทำให้การวิ่งของหุ้นที่มีราคาตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป เร็วกว่าหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 25 บาท ที่มีสเปรดเพียงช่องละ 0.10 บาทเท่านั้น"


ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย ประเมินว่า CPF มีสัญญาณทางเทคนิคมีแนวโน้มปรับขึ้น จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยประเมินแนวรับ 25 บาท และแนวต้าน 28 บาท สวนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินว่า CPF มีแนวรับอยู่ที่ 24.50 บาท หากไม่ปรับตัวลงมามีสิทธิลุ้นแนวต้าน 26.50-27 บาท จึงแนะนำให้เก็งกำไรในกรอบ


บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) ระบุว่า ไตรมาส 2/53 CPF น่าจะมีกำไรสุทธิ 4,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน และ 31% จากไตรมาสก่อนเนื่องจากราคาเนื้อไก่-หมูในประเทศเพิ่มขึ้น จากปีก่อน ประกอบกับมีการส่งออกกุ้งและสินค้าพร้อมรับประทานมากขึ้น โดยเฉพาะเกี๊ยวกุ้ง ขณะเดียวกันมีการรับรู้ยอดขายและกำไรของธุรกิจในไต้หวัน นอกจากนี้ ธุรกิจในต่างประเทศ ได้แก่ ตุรกี อินเดีย มียอดขายและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นรวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก CPALL และเวียดนามจะเพิ่มขึ้น

ดังนั้น คำแนะนำซื้อและเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้น 8% เป็น 27 บาท จากเดิม 25 บาท ตามการปรับประมาณการปี 2554-2555 ขึ้นจากเดิม 4% และ roll over ไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2554 ถึงแม้ราคาหุ้น CPF ได้ปรับตัวขึ้นมากถึง 375% จากปีก่อน จาก 4.90 บาทในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มเกษตรและอาหาร(เพิ่มขึ้น 88%)

อาจทำให้นักลงทุนลังเลที่จะเพิ่มน้ำหนักลงทุนใน CPF แต่แนะนำลงทุนระยะยาว เพราะ CPF มีจุดเด่นกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตอาหารสัตว์การเลี้ยงสัตว์ในระบบฟาร์มปิด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานทำให้สามารถลดการพึ่งพาธุรกิจเนื้อสัตว์ที่ราค� ��ค่อนข้างผันผวน และหันไปยังธุรกิจที่บริหารมาร์จิ้นได้ง่ายกว่า คือ ธุรกิจอาหาร สำเร็จรูปทั้งในประเทศและการส่งออก รวมทั้งรุกเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์ในต่างประเทศที่ยังมีคู่แข่งน้อยและการเติบโตของตลาด� ��ูง

ซีพีเอฟคว้า 2 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประจำปี 2553
ตอกย้ำผู้นำด้านบริหารความปลอดภัยและจัดการพลังงาน
นายวีรชัย รัตนบานชื่นรองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เข้ารับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2553 (Prime Minister Industry Award 2010) จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม จาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ ประเภทการบริหารความปลอดภัยจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์โคกตูม จ.ลพบุรี และประเภทการจัดการพลังงานจากโรงงานอาหารสัตว์ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
นายวีรชัย เปิดเผยว่า ซีพีเอฟห่วงใยและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างยิ่งยวด จึงเกิดเป็นนโยบายและข้อปฏิบัติด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหาร ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม (CPF SHE Management Committee) ที่ผลักดันโครงการด้านความปลอดภัยต่างๆ โดยเฉพาะการลดอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ หรือ Zero Accident เพื่อส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานในฟาร์มและโรงงานของซีพีเอฟทั่วปร� ��เทศ นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นในการอนุรักษ์และจัดการพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยแสวงหาเทคโนโลยีทันสมัยเพื่อพัฒนากระบวนการผลิต ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ดังเช่นโรงงานอาหารสัตว์ปักธงชัย ที่นำเอาไอร้อนทิ้งจากหม้อไอน้ำ (Broiler) มาอุ่นน้ำก่อนป้อนเข้าหม้อไอน้ำ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้เป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน ยังเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชน นำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและยั่งยืนมาโดยตลอด
“รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นที่ได้รับนี้ นับเป็นการยืนยันความสำเร็จของซีพีเอฟ ที่มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการผลิต โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้มาตรฐานสากล และแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจให้ก้าวหน้า ด้วยการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของสินค้า จนเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ” นายวีรชัยกล่าวและว่า
โรงงานทุกแห่งของซีพีเอฟต้องผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิตในระดับสากล อาทิ GMP, HACCP, ISO 9001, IFS, BRC Global Standard-Food, HALAL, ISO 14001-Environment Management System, Social Accountability (SA 8000), รวมถึง Thai Labor Standard (มาตรฐานแรงงานไทย), OHSAS 18001 (Occupational Health and Safety System) และทุกแห่งจะปฏิบัติตามกฏหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด
อนึ่งก่อนหน้านี้ ซีพีเอฟ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ยังได้รับรางวัล “สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” และรางวัล “เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ดีเด่นระดับประเทศ” มากที่สุดในประเทศไทย จำนวน 93 รางวัล และ 8 รางวัลตามลำดับ รวมทั้งรางวัลคณะกรรมการดีเด่นด้านความปลอดภัย อีก 1 รางวัล รวมทั้งสิ้น 102 รางวัล

CPF แรงไม่แคร์สื่อ!!

หุ้น CPF ยังดี๊ด๊าไม่เลิก ล่าสุด เจพีมอร์แกนออกบทวิเคราะห์แนะ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายซะสูงละลิ่วที่ 35 บาท โดยระบุว่า แม้ช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นจะทะยานขึ้นอย่างมาก แต่เจพีมอร์แกนมองว่ายังไปได้ต่อ เพราะคาดว่ากำไรไตรมาส 3 และ 4 จะออกมาสูงเกินกว่าที่ตลาดคาดหมายไว้
อีกทั้งผลตอบแทนของส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ยังเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญ (จาก 4% ใน 2004-2008 สู่ 20% ใน 2009) และยังคาดว่า CPF จะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้มากขึ้น
โดยผลกำไรที่สูงขึ้นมาจากปัจจัยเหล่านี้ เช่น ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำที่จะดีขึ้นไตรมาส 3 ขณะที่ราคาเนื้อสัตว์ยังคงอยู่ในระดับสูงและการบริหารวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งความต้องการเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ที่สำคัญยังจะส่งออกเนื้อกุ้งได้เพิ่มขึ้นอีกมาก
นอกจากนี้ยังประเมินว่า ธุรกิจอาหารสำเร็จจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และ margins จะเพิ่มจาก 16% เป็น 24% ในปี 2013 เหล่านี้เป็นต้น ล่าสุด CPF ปิด 25 บาท เพิ่มขึ้น 0.10

CPF รับรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence awards 2009
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวแสดงความยินดีกับ นายธีรศักดิ์ อุรุนานนท์ (ซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ในโอกาสเข้ารับรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2009 ด้านความเป็นเลิศการพัฒนาการบริหารจัดการองค์กร หรือ Corporate Improvement Excellence ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี เมื่อเร็วๆนี้

CPF ส่งไก่ย่างจิ้มแจ่วดันมาร์เก็ตแชร์อาหารว่าง ready to eat

นายสุพัฒน์ ศรีธนาธร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสด้านการตลาด บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF) เปิดเผยว่า CPF ส่งผลิตภัณฑ์อาหารว่างพร้อมรับประทาน(ready to eat)ตัวใหม่"ไก่ย่างจิ้มแจ่ว"ลงตลาดชิงส่วนแบ่งอาหารว่างกลุ่มเนื้อไก่เพิ่มขึ้นเป็น 65% ภายในปลายปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 61% ขณะที่คาดว่ายอดขายในปีนี้จะเติบโต 15% สูงกว่าภาพรวมที่เติบโตราว 10%
การเปิดตัว"ไก่ย่างจิ้มแจ่ว"ได้รับการตอบรับอย่างดี เพราะเป็นสินค้าอาหารพร้อมรับประทานที่ผลิตจากเนื้อไก่ตัวแรกที่รสชาดจัดจ้านแบบไทย โดยเฉพาะต่างจังหวัดทำยอดขายได้ดี ซึ่งทาง CPF ก็จะจัดเร่งจัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขาย โดยทุ่มงบโฆษณา 10 ล้านบาท
"ในปีนี้บริษัทสินค้ากลุ่มไก่คงจะไม่มีออกมาแล้ว แต่จะไปออกในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า แต่ช่วงที่เหลือในปีนี้จะจัดโปรโมชั่น ณ จุดขายมากกว่า ที่เหลือเป็นแคมเปญลดราคาและพรีเมียมแถม ซึ่งปัจจุบันคนกินไก่มากที่สุดในกลุ่มเมนูหาอาหารว่าง"นายสุพัฒน์ กล่าว
นายสุพัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่ายอดขายอาหาร ready to eat ช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะเติบโตได้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่เติบโต 15% ซึ่งจะทำให้ทั้งปีมีอัตราเติบโตได้ตามเป้าหมาย 15% เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังไม่มีประเด็นเรื่องสถานการณ์รุนแรงทางการเมือง ประกอบกับช่วงไตรมาส 4 ปกติจะเป็นฤดูการขายที่สำคัญ และขณะนี้ประชาชนกลับมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น
การเติบโตของยอดขายอาหาร ready to eat ของบริษัททั้งในแง่ปริมาณและมูลค่าน่าจะสูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะเติบโตราว 10% ในปีนี้ โดยบริษัทเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ซึ่งตลาดรวมแต่ละปีจะมีมูลค่าประมาณ 3-3.5 พันล้านบาท CPF มีส่วนแบ่ง 25% อันดับ 2 เป็นพรานทะเล 22-23% และอันดับ 3 เป็นเอสแอนด์พี
อนึ่ง ประเภทของอาหารว่าง ready to eat เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อไก่ 800 ล้านบาท ที่เหลือผลิตจากเนื้อหมู และสินค้าอื่น ๆ เช่น อาหารกล่อง และ อาหารที่แปรรูปจากกุ้ง ซึ่งในกลุ่มของอาหารกล่อง CPF ก็เป็นผู้นำตลาดเช่นกัน
นายสุพัฒน์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทได้จัดงบสำหรับทำการตลาดด้วยการทำโปรโมชั่น 180-190 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังยังเหลืองบอีก 50 ล้านบาท ก็จะมีการจัดรายการส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย เพื่อให้มีสินค้าวางขายทุกช่องทางทั้งโมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านซีพีเฟรชมาร์ท และ เซเว่น-อีเวฟเว่น ที่มีกว่า 5 พันสาขา

ซีพีกรุ๊ปรุกเปิดแบงก์ในจีน
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2010

กลุ่มซีพี กรุ๊ป เตรียมเปิดแบงก์ในเมืองจีน หลัง “เจียไต๋” ได้ไลเซนส์ประกอบธุรกิจการเงิน พร้อมดึงจีนร่วมเป็นพันธมิตร ยึดนครเซี่ยงไฮ้ หัวหาดตั้งสำนักงานใหญ่
นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร กงสุลฝ่ายการพาณิชย์ ประจำนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดเผยว่า บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด อยู่ระหว่างเตรียมแผนลงทุนธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในประเทศจีน ภายหลังจาก บริษัท เจียไต๋ เอ็นเตอร์ไพรส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ได้ใบอนุญาต (ไลเซนส์) เป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน
“หลังจากที่เจียไต๋ได้ใบอนุญาตให้เปิดแบงก์พาณิชย์จากรัฐบาลจีน ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็มีการเตรียมแผนที่จะทำธุรกิจทางการเงิน และอาจจะต้องมีพันธมิตรที่เป็นคนในประเทศจีน (โลคัล พาร์ตเนอร์) เข้ามาร่วมลงทุน โดยอาศัยประสบการณ์ของพันธมิตรที่อยู่ในพื้นที่ให้เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ”
ซึ่งการหาพันธมิตรคงไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินลงทุน เพราะกลุ่มซีพีมีทุนหนาอยู่แล้ว การที่เขาอยากได้พันธมิตร เพราะต้องการคนเข้ามาช่วยส่งเสริมงานที่สำคัญด้านต่างๆ ส่วนเรื่องสำนักงานสาขา ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า จะใช้นครเซี่ยงไฮ้เป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานใหญ่ของตัวธนาคาร
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา กลุ่มซีพี กรุ๊ป ได้มีการลงทุนในธุรกิจอื่นอีกหลายธุรกิจ ทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกลุ่มเจียไต๋ ได้กว้านซื้อที่ดินในหลายๆ เมืองในประเทศจีน เพื่อทำคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ขณะเดียวกันก็มีแผนเปิดห้างสรรพสินค้าในย่านชุมชมสำคัญอีกหลายเมืองที่สำคัญในประเทศจีน� ��้วย
นายไพจิตร กล่าวว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวที่ดีต่อเนื่อง ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในจีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย เพียงแต่การเข้ามาทำธุรกิจนั้น อยากเห็นการรวมตัวกันเข้ามา เหมือนกับที่ผู้ประกอบการชาว เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รวมตัวกันเข้ามา เพราะการเข้ามาเป็นกลุ่มจะช่วยในเรื่องของอำนาจการต่อรองได้อย่างมาก
“ที่ผ่านมาเราจะเห็นผู้ประกอบการชาวไทยเข้ามาทำตลาดในประเทศจีนกันบ้างแล้ว เพียงแต่เป็นลักษณะต่างคนต่างมา ไม่ได้รวมตัวกันมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนผู้ประกอบการชาวเกาหลีและญี่ปุ่น เนื่องจากจีนถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ดังนั้น ผู้ที่เข้ามาแม้จะเป็นรายใหญ่ในไทย แต่เมื่อเข้ามาทำตลาดในจีนแล้วยังถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับเขา” นายไพจิตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับจีนนั้น ที่ผ่านมาถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ พบว่ามูลค่าทางการค้าเพิ่มขึ้นกว่า 50% ซึ่งถือเป็นการขยายตัวที่สูงสุดตั้งแต่ไทยมีการค้าร่วมกับจีน โดยสินค้าที่มีการส่งเข้ามาในประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก คือ ยางพารา

ซีพีเอฟ คว้ารางวัลอย. Quality Award 2010

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ (ขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมอบรางวัล อย.Quality Award 2010 ประเภทสถานประกอบการด้านอาหารแก่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยมี นายศุภชัย อังศุภากร (ซ้าย) เป็นผู้แทนรับมอบทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามอบรางวัลดังกล่าวเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติ และเป็นกําลังใจให้กับสถานประกอบการด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ดําเนินงานอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการทำการผลิตที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่� ��งต่อเนื่อง ณ หอประชุมเล็กศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้

ซีพีเอฟ ยันค่าบาทแข็งไม่กระทบรายได้บริษัท
07 กันยายน 2553

ซีพีเอฟ ชี้บาทแข็งค่าไม่กระทบ แถมด้วยแรงหนุนผลประกอบการในต่างประเทศ มั่นใจยอดขายตามเป้าหมาย 1.8 แสนล้านบาท กำไรเพิ่มไม่ต่ำกว่า 20 %
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า จากการที่เงินบาทในภูมิภาคนี้แข็งค่าขึ้นทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นประเทศมาเลเซีย ญี่ปุ่น หรือไทย ซึ่งผู้ส่งออก ที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลักจะเสียเปรียบ สำหรับซีพีเอฟไม่ได้รับผลกระทบในส่วนนี้ เนื่องจากมีวัตถุดิบที่ต้องนำเข้า เป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน จึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟในปี 2553 นี้ จะยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และมีอัตราการเติบโตของกำไรไม่ต่ำกว่า 20 %เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่ผ่านมา
นายอดิเรก กล่าวว่า สำหรับยอดขายทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 180,000 ล้านบาท โดยธุรกิจยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากผลประกอบการทั้งที่ อินเดีย และ ตุรกี เช่นเดียวกับรัสเซีย ที่ยอดขายได้ปรับตัวดีขึ้นตามเป้าหมาย โดยจะส่งผลที่ดีต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สามนี้ด้วย และจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
นายอดิเรก กล่าวด้วยว่า การเติบโตของบริษัทคงเน้นการขยายงานในประเทศต่างๆ ที่บริษัทได้เริ่มลงทุนไปแล้ว สำหรับในประเทศไทยบริษัทได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการสรรสร้างนวัตกรรมในทุกด้านเพื่อเ� ��ิ่มประสิทธิภาพขององค์กร ทั้งด้านกระบวนการผลิต กระบวนการทำงานการวิจัยและพัฒนาสินค้า และรวมถึงเรื่องของบุคลากร

ไก่ 5 ดาวลุยแหลกตั้งเป้า 4 พันล้าน

ไก่ย่างห้าดาวลุยขยายสาขาอุตลุด รับเข้าสู่หน้าขายปลายปี พร้อมปรับแผนธุรกิจเช่าโรงงานแทน
ลงทุน หวังปีนี้ฟันรายได้ 4,000 ล้าน
นายสถิต สังขนฤบดี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผู้ผลิตและ
จำหน่ายไก่ย่างห้าดาว ไก่ทอดห้าดาว เป็นต้น เปิดเผยว่า แผนธุรกิจห้าดาวใน 4 เดือนสุดท้ายปีนี้ จะ
มุ่งขยาย 5 ธุรกิจในเครืออย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจไก่ย่าง มีแผนขยายจุดจำหน่ายเพิ่มอีก 100 สาขา
เป็น 2,600 สาขา ในสิ้นปี ธุรกิจไก่ทอดมีแผนขยายสาขาอีก 200 สาขา ให้ครบ 1,200 สาขา ในสิ้นปี
ธุรกิจข้าวมันไก่ จะขยายให้ครบ 300 สาขา จากปัจจุบันมี 160 สาขา

J.P. Morgan ฟันธง CPF ไตรมาส 3 ไม่วูบ กำไร 4.2 พันลบ.

J.P.Morgan ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ยังคงให้น้ำหนักหุ้น CPF มากกว่าตลาด โดยตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.เป็นต้นมา ราคาหุ้น CPF ร่วงลง 5% (ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น 1.3%) ซึ่งเป็นผลจากบริษัทมีกำไรอยู่ในระดับที่เราคาดการณ์ และจากการสำรวจของเราพบว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับหุ้นขนาดก� ��างอื่นๆ ในตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ เรายังคงแนะนำซื้อและให้ราคาเป้าหมายที่ 35 บาท โดยคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3 จะเติบโตแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ การคาดการณ์ว่าราคาผลิตภัณฑ์จะปรับตัวลดลงไม่ได้เกิดขึ้นจริง โดยจากข้อมูลราคาของกระทรวงพาณิชย์ ในเดือนก.ค.-ส.ค.พบว่าระดับราคาอยู่ในระดับที่ดี แม้ว่าราคาไก่หน้าฟาร์มของไก่เนื้อจะลดลงมาอยู่ที่ 36 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนก.ค.ในเดือนมิ.ย.ซึ่งอยู่ที่ 42 บาท แต่ในเดือนส.ค. ราคาดีดตัวมาอยู่ที่ 36.5 บาทต่อกิโลกรัม ( ทั้งนี้ รายได้ของไก่เนื้อคิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด) ทั้งนี้ แนวโน้มราคาในช่วงต้นเดือนก.ย.ค่อนข้างสดใส เราคาดว่าการปรับตัวลดลงจะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น ทั้งนี้ เป็นผลจากการเร่งผลผลิตไก่จากผู้เล่นรายหนึ่ง ซึ่งดาดว่าจะเข้ามาในช่วงปลายไตรมาส 3
เราคาดว่าในไตรมาส 3 CPF จะมีรายได้สูงถึง 4.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นที่ 20% และค่าใช้จ่ายในการขายและการดำเนินงานที่ระดับ 10.3% ของยอดขาย คาดว่าจะทำให้ CPF มีกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท บวกกับรายได้จากหุ้นอีก 700 ล้านบาท และหักภาษีแล้ว คาดว่า CPF จะมีกำไรสุทธิประมาณ 4.2 พันล้านบาทในไตรมาส 3/53 ซึ่งหากเป็นจริงจะทำให้กำไร 9 เดือนแรกคิดเป็น 86% ของกำไรทั้งปีที่คาดการณ์โดยบลูมเบิร์ก ซึ่งให้ไว้ที่ 1.33 หมื่นล้านบาท และ79% ของกำไรทั้งปีที่เราคาดการณ์ไว้ และส่วนของธุรกิจฟาร์มจะไม่ได้เป็นตัวถ่วงกำไรในไตรมาส 3 อย่างที่เคยเกิดขึ้นตามฤดูกาลตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้

CPF คว้ามาตรฐานตรวจสอบย้อนกลับระดับโลก รายแรกของประเทศไทย

นายณฤกษ์ มางเขียว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟโดยโรงงานแปรรูปเนื้อไก่สระบุรี ได้รับมอบใบรับรองมาตรฐาน GS1 Global Traceability Conformance Seal เป็นรายแรกของประเทศไทย จากสถาบันรหัสสากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เนื่องจากสามารถใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับตามมาตรฐานสากล GS1 เพื่อบ่งชี้และบันทึกข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดกระบวนการซัพพลายเชนของ ผลิตภัณฑ์ นักเก็ตไก่ตราซีพีที่จำหน่ายภายในประเทศ และ ผลิตภัณฑ์ Breaded Chicken Goujons ที่ส่งออกไปยังสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ขั้นตอนการรับไก่ ผ่านกระบวนการผลิตเป็นอาหารสำเร็จรูป การจัดเก็บเข้าคลังสินค้าเพื่อเตรียมขนส่งให้กับคู่ค้า ไปจนถึงร้านค้าปลีกและผู้บริโภค

“ระบบตรวจสอบย้อนกลับตามมาตรฐานสากล GS1 นี้ ช่วยให้บริษัทเชื่อมโยงข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทั้งซัพพลายเชนและทำให้ ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ มั่นใจในกระบวนการผลิตอาหารปลอดภัยของซีพีเอฟยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับคู่ค้าที่มีมาตรฐานสากลอยู่แล้ว ก็จะสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้โดยไม่ต้องสร้างระบบเพิ่มเติม” นายณฤกษ์กล่าวและว่า

CPF มีวิสัยทัศน์สู่การเป็นครัวของโลก ภายใต้กระบวนการผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อส่งไปจำหน่ายแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ดังนั้น ระบบตรวจสอบย้อนกลับ หรือ Traceability จึงเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตของซีพีเอฟมานานมากแล้ว ทั้งยังมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบอิเลคทรอนิคส์เข้ามาเก็บข้อมูล หรือ การใช้ Software Management ทำให้ปัจจุบันระบบตรวจสอบย้อนกลับของซีพีเอฟมีความสมบูรณ์มาก ล่าสุด เมื่อเกิดมาตรฐาน GS1 Global Traceability Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านการตรวจสอบย้อนกลับในระดับโลก ที่ตั้งต้นมาจากระบบบาร์โค้ด CPF จึงเข้ารับการตรวจรับรองระบบ และได้รับการรับรองมาตรฐานดังกล่าวในที่สุด

GS1 Global Traceability Standard เป็นมาตรฐานที่ในหลายประเทศทั่วโลกได้นำไปใช้ในประเทศของตน โดยแต่ละประเทศจะตั้งหน่วยงานดูแลรับผิดชอบดังเช่นที่ประเทศไทยมีสถาบันรหัส สากล หรือ GS1 Thailand สังกัดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแลและตรวจรับรองระบบตามมาตรฐาน GS1 Global