Error
แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2553 BY ศูนย์วิจัยเคแบงก์
Print
Monday, 15 February 2010 17:05

แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2553 ...โตตามเศรษฐกิจ ก่อนถูกล้อมกรอบด้วยเกณฑ์ RBC

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน เรื่อง แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2553 ...โตตามเศรษฐกิจ ก่อนถูกล้อมกรอบด้วยเกณฑ์ RBC โดยระบุว่า ประกันวินาศภัย นับเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในปี 2552 ซึ่งส่งผลให้เบี้ยประกันวินาศภัยรับตรงรวมขยายตัวชะลอลงจากร้อยละ 5.4 ในปี 2551 มาที่ร้อยละ 3.7 ในปี 2552  โดยการหดตัวของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการรับประกันภัยทางทะเลและขนส่ง  เช่นเดียวกับการชะลอตัวของการบริโภคและความเชื่อมั่นที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายยานยนต์ จนมีผลลบต่อเนื่องมายังประกันภัยรถ ถึงแม้ว่าประกันภัยประเภทดังกล่าวจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ตามการฟื้นตัวของยอดขายรถก็ตาม  ด้านประกันอัคคีภัย คงจะเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่ประกันภัยเบ็ดเตล็ดเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งกว่าปี 2552 ตามหมวดหลักที่ปรับตัวดีขึ้นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน และประกันภัยวิศวกรรม

สำหรับในปี 2553 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธุรกิจประกันวินาศภัย คงจะเผชิญสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างออกไปจากเดิม ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สรุปประเด็นสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจประกันวินาศภัยไว้ ดังนี้

ปัจจัยบวก
ภาพรวมเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก ด้วยอัตราเติบโตประมาณร้อยละ 3.0-4.0 เทียบกับที่ประสบภาวะถดถอยประมาณร้อยละ2.6 ในปี 2552  ประกอบกับรัฐบาลมีแผนใช้เงินลงทุนในโครงการไทยเข้มแข็งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในวงเงินเบื้องต้นประมาณ 308,000 ล้านบาท ในปี 2553  ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้น   

อุตสาหกรรมยานยนต์ มีแนวโน้มขยายตัวสูง หลังจากที่หดตัวติดต่อกันหลายปี ประกอบกับมีการเปิดตัวรถอีโคคาร์เป็นครั้งแรก ซึ่งมีส่วนช่วยขยายฐานผู้ใช้รถยนต์ใหม่เพิ่มขึ้น  โดยคาดว่ายอดขายรถยนต์ใหม่ในปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 615,000-640,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12-17 จาก 548,871 คันในปี 2552  และส่งผลต่อการเติบโตของเบี้ยประกันภัยโดยตรง เนื่องจากกว่าร้อยละ 50 ของเบี้ยประกันภัยรับตรงรวมในธุรกิจประกันวินาศภัย มาจากการรับประกันภัยรถ  ขณะที่การรับประกันภัยประเภทอื่น ที่มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันประมาณร้อยละ50 ก็มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น ตามกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ และมูลค่าการส่งออก-นำเข้า ที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

การฟื้นตัวของภาคธุรกิจและตลาดทุนไทย ทำให้บริษัทประกันวินาศภัยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการบริหารเงินลงทุน โดยเฉพาะในรูปเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น   ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากการบริหารเงินลงทุนและกำไรจากการดำเนินงานในธุรกิจหลักของบริษัทประกันวินาศภัย อยู่ที่ประมาณ 50-50 (เป็นค่าเฉลี่ยของทั้งระบบ บางบริษัทอาจมีสัดส่วนรายได้จากเงินลงทุนสูงกว่าการรับประกันภัย) เนื่องจากธุรกิจประกันวินาศภัยมีรายจ่ายรวม  ในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 94.5 ของเบี้ยประกันที่ถือเป็นรายได้   ทำให้รายได้หรือกำไรของธุรกิจที่เกิดจากการรับประกันภัยมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ ดังนั้น บริษัทประกันวินาศภัยส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องพึ่งพารายได้ที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ ผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของตลาดเงินตลาดทุน

ทิศทางดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ แม้จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 แต่คาดว่าคงจะปรับขึ้นด้วยขนาดไม่เกินร้อยละ 0.75 ซึ่งถือว่ายังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ และยังจูงใจให้เกิดการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคสินค้าคงทนจำเป็นราคาสูง เช่น บ้าน และรถยนต์

ปัจจัยลบ
ส่วนปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2553 ทั้งที่เกิดจากปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในของธุรกิจเอง พอสรุปได้ดังนี้
1.    ปัจจัยภายนอก - ความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ และความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการลงทุนในบางสาขา (อาทิ ในพื้นที่มาบตาพุด และโครงการ 3G)  ซึ่งหากปัจจัยนี้ต้องใช้เวลาในการคลี่คลายที่ยาวนาน ก็อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนในประเทศ ส่งผลตามมาต่อภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงทิศทางตลาดเงินและตลาดทุนไทย ให้ไม่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดไว้
2.    ปัจจัยภายใน
การปรับพิกัดเบี้ยประกันภัยรถภาคสมัครใจ ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 3/2553  เพื่อให้สะท้อนต้นทุนความเสี่ยงที่แท้จริง  โดยเฉพาะรถขนาดเล็กซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราความเสียหายสูง ขณะที่แนวโน้มสัดส่วนรถขนาดเล็กจะเพิ่มในอัตราเร่งมากกว่ารถขนาดใหญ่ ประกอบกับมีการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ซึ่งมีขนาดเล็ก ราคาต่ำ ขึ้นอีกในปีนี้ ทำให้บริษัทอาจจำเป็นต้องปรับอัตราเบี้ยประกันให้สะท้อนความเสี่ยงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนี้ ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการขึ้นค่าเบี้ยประกันโดยเฉพาะกับรถขนาดเล็ก ทำให้บริษัทบางแห่งได้นำเงื่อนไขเรื่องการใช้รถน้อยเข้ามาร่วมคำนวณความเสี่ยงด้วย เพื่อให้สามารถเสนอเบี้ยประกันในราคาที่เหมาะสมและจูงใจผู้ใช้รถ   

การปรับเพิ่มความคุ้มครองให้กับการประกันภัยรถภาคบังคับ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค. 2553  จะทำให้บริษัทประกันมีภาระจ่ายชดเชยค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้น และส่งผลต่ออัตราความสูญเสีย (Loss Ratio) ให้เพิ่มขึ้นด้วย  ซึ่งกระทบต่อรายได้หรือกำไรของธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้วให้ยิ่งแคบลงไปอีก

การปรับลดพิกัดเบี้ยประกันอัคคีภัยแก่สถานประกอบการทุกประเภทลงร้อยละ 5.0 และกำหนดส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุดร้อยละ 15.0 แก่สถานประกอบการที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยดี มีผลวันที่ 1 ม.ค. 2553 หลังจากที่มีการปรับเบี้ยประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยลดลงร้อยละ 10.0 ในปี 2552  ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เบี้ยประกันประเภทอัคคีภัย ไม่เพิ่มขึ้นมากเท่าที่ควร แต่ก็จะไม่ปรับลดลงมาก เนื่องจากเบี้ยประกันที่ถูกลงมีส่วนช่วยให้ผู้เอาประกันซื้อประกัน
เพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองมากขึ้นตามมูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริง

เกณฑ์ RBC ของ คปภ....ผลกระทบในปี 2553 ยังอยู่ในวงจำกัด
สำหรับแนวนโยบายของ คปภ. ในการเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการดำรงเงินกองทุนของธุรกิจประกันวินาศภัยให้สะท้อนความเสี่ยงของแต่ละบริษัท เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยให้ได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง โดยนำหลักเกณฑ์การกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital: RBC) มาใช้บังคับในปี 2554 ควบคู่ไปกับการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่าจะก่อให้เกิด
ผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว โดยมีส่วนสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบการประกันภัย ทำให้มีโอกาสขยายฐานการรับประกันภัยได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งที่เกิดจากการสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ และการเป็นหลักประกันของผู้เอาประกันภัยรายย่อย  

ส่วนผลกระทบระยะสั้น ในปี 2553 คาดว่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากเป็นช่วงการทดสอบการคำนวณเงินกองทุนตามเกณฑ์ RBC ซึ่งยังไม่ส่งผลต่อธุรกิจไม่ว่าบริษัทนั้นจะผ่านการทดสอบตามเกณฑ์ใหม่หรือไม่ก็ตาม อีกทั้งเกณฑ์ต่าง ๆ ที่นำมาใช้ยังอาจมีการปรับปรุงได้อีก หากพิสูจน์ได้ว่าไม่เหมาะสม เช่น ผลการทดสอบ 48 บริษัทในปี 2552 ได้นำไปสู่การปรับลดค่าความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ลงให้อยู่ในระดับเดียวกับเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้กับสถาบันการเงิน

ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ใหม่ หรือ หลักเกณฑ์การกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (RBC) จะกำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยทุกบริษัทต้องดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ หนี้สิน ภาระผูกพันหรือความเสี่ยง ในอัตราไม่น้อยกว่า 1.5 เท่า (ร้อยละ 150) ของ CAR ratio โดยการคำนวณความเสี่ยงจะนับรวมทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากการบริหารเงินลงทุน (Market Risk) และความเสี่ยงจากการรับประกันภัย (Insurance Risk) ซึ่งการบังคับใช้เกณฑ์
ดังกล่าว อาจนำไปสู่การปรับลดการทำธุรกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับธุรกิจ เพื่อไม่ให้เป็นภาระการดำรงเงินกองทุน ไม่ว่าจะเป็นการลดพอร์ตการลงทุนลง หรือแม้แต่การลดการรับประกันภัยลงให้เหมาะสมกับเงินกองทุนที่มีอยู่ รวมถึงการปรับลดต้นทุนการดำเนินงาน และการหาแนวทางเพิ่มเงินกองทุนให้เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด  อันอาจนำไปสู่การหดตัวของจำนวนบริษัทประกันวินาศภัย และการหดตัวของธุรกิจการรับประกันภัยในระยะแรกที่มีผลบังคับใช้   ขณะที่เกณฑ์ปัจจุบัน จะกำหนดให้ดำรงเงินกองทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10.0 ของเบี้ยรับสุทธิในปีที่ผ่านมา หรือไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาทตลอดเวลา ซึ่งอาจไม่สะท้อนความเสี่ยงที่บริษัทประกันภัยเผชิญ เนื่องจากบริษัทอาจเร่งขยายธุรกิจเกินตัว จนส่งผลให้ความเสี่ยงเกินเงินกองทุนตามที่กฎหมายกำหนด (สูงสุด 30 ล้านบาท) และอาจนำไปสู่ปัญหาไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้เอาประกันได้

ธุรกิจประกันภัยในปี 2553 ... คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นมาที่ร้อยละ 6.0-8.0
จากปัจจัยแวดล้อมดังกล่าวข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าภาพรวมผลการดำเนินงานของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2553 น่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่  โดยส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในปี 2552 ประกอบกับโอกาสในการหารายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากธุรกิจหลักและการบริหารผลตอบแทนจากเงินลงทุน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการรุกเพิ่มช่องทางการขาย และการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมากได้พร้อม
กัน (ลักษณะผลิตภัณฑ์ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ทำให้สามารถวางขายในจุดที่เข้าถึงคนส่วนมากได้ เช่น ธนาคาร ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น  ได้แก่ ประกันภัยรถภาคสมัครใจประเภท 3 ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันสุขภาพ)  ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่าธุรกิจประกันภัยคงจะขยายตัวประมาณร้อยละ 6.0-8.0 ในปี 2553 ซึ่งเร่งขึ้นจากร้อยละ 3.7 ในปี 2552

ธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2552 และคาดการณ์ปี 2553
ด้านการเติบโตของธุรกิจแยกรายประเภทการรับประกันภัยนั้น คาดว่าการประกันภัยทางทะเลและขนส่ง และการประกันภัยเบ็ดเตล็ด จะเป็นตัวหลักในการขยายธุรกิจ ด้วยอัตราเติบโตประมาณร้อยละ 14.0-16.0 และ 10.0-12.0 ตามลำดับ จากอานิสงส์ของการฟื้นตัวของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ และกระแสความตื่นตัวในเรื่องเสี่ยงภัยที่เพิ่มขึ้น  ขณะที่การประกันภัยรถและอัคคีภัย คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่มากนัก ประมาณร้อยละ 5.0-6.0 และ 3.0-4.0 ตามลำดับ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย และการลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการซื้อประกันภัยรถภาคสมัครใจ

เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจำแนกตามประเภทธุรกิจปี 2551-2553
ประเภท
การรับประกันภัย    2551    2552F    2553F
ล้านบาท    %เพิ่ม/(ลด)    ล้านบาท    %เพิ่ม/(ลด)    ล้านบาท    %เพิ่ม/
(ลด)
อัคคีภัย    7,500    5.7    7,850    4.5    8,000-8,200    3.0-4.0
ภัยทางทะเล-ขนส่ง    4,194    9.7    3,700    -12.0    4,200-4,300    14.0-
16.0
รถ    64,158    4.5    65,000    1.0    68,000-69,000    5.0-6.0
เบ็ดเตล็ด    30,402    6.7    34,000    12.0    37,000-38,000    10.0-12.0
ที่มา : คปภ.  

F ประมาณการโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย (ในปี 2552 ข้อมูลล่าสุดที่ทางการเผยแพร่คือ ม.ค.-พ.ย.)

บทสรุป
แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2553 ในภาพรวม สดใสขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง  โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าธุรกิจประกันวินาศภัยอาจมีเบี้ยประกันรับโดยตรงรวมประมาณ 117,200-119,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6.0-8.0 จากปี 2552 ที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.7 เป็นประมาณ 110,225 ล้านบาท   โดยมีปัจจัยหลักจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น และการรุกตลาดประกันส่วน
บุคคล ด้วยช่องทางการขายและรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ธุรกิจประกันวินาศภัยยังอยู่ในช่วงการเตรียมปรับตัว เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎเกณฑ์เพื่อเสริมความมั่นคงของธุรกิจของ คปภ. ที่สำคัญ 2 ประการ คือ การกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital : RBC) ที่เริ่มบังคับใช้ในปี 2554 และการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) ภายใน 5 ปี (2558)  ซึ่งจะทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องเร่งปรับปรุงการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการกระจายความเสี่ยงทั้งจากธุรกิจหลักหรือการรับประกันภัย และการลงทุน เพื่อลดภาระการดำรงเงินกองทุน  ซึ่งรูปแบบการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจดังกล่าว คงจะมีความเด่นชัดมากขึ้นเมื่อ คปภ. ประกาศหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ การปรับตัวของบริษัทประกันต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากจะมีผลกระทบต่อเนื่องมายังโครงสร้างของธุรกิจประกันภัยในภาพรวมแล้ว ก็ยังอาจนำมาสู่การควบรวมกิจการ และการแสวงหาพันธมิตรเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว  

ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

Written by :
พิราบขาว
 

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment