เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ... หลากปัจจัยกระตุ้นการแข่งขัน BY ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
|
|
Friday, 26 February 2010 17:33 |
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ... หลากปัจจัยกระตุ้นการแข่งขัน
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน เรื่อง เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ... หลากปัจจัยกระตุ้นการแข่งขัน โดยระบุว่า หากกล่าวถึงเงินฝากของธนาคารพาณิชย์นั้น คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ในปี 2553 จะเป็นปีที่เริ่มเห็นการแข่งขันนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีความหลากหลายมากขึ้น ภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่น่าดึงดูดใจมากกว่าเดิม ท่ามกลางภาวะที่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของระบบการเงินไทยถูกคาดหมายว่าจะเริ่มต้นขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ ทิศทางดังกล่าว นอกจากจะได้รับอิทธิพลจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ยังจะได้แรงเสริมจากการแข่งขันกันระหว่างธนาคารพาณิชย์และกับช่องทางการลงทุนอื่นๆ ที่ยังมีแนวโน้มดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทรวงการคลังเตรียมออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน 2553
จากสภาวะแวดล้อมดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า ธนาคารพาณิชย์อาจจะต้องมีการเตรียมการรับมือในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการสะสมสภาพคล่องหรือเงินฝาก เพื่อช่วงชิงจังหวะความได้เปรียบและหลีกเลี่ยงการเป็นผู้เล่นลำดับท้ายๆ ซึ่งมักจะมีต้นทุนในการระดมทุนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นผู้เล่นในลำดับต้นๆ อย่างไรก็ตาม กระแสการแข่งขันด้านราคาเงินฝากของธนาคารพาณิชย์จะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด ปัจจัยที่มีผลกระตุ้นที่สำคัญ คงจะได้แก่
การส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปีนี้ สำหรับแนวโน้มการออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในปีนี้นั้น ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว แต่คงจะเป็นการปรับขึ้นตามความจำเป็นและค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ ขนาดและระยะเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. คงจะขึ้นอยู่กับความร้อนแรงของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลด้านแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ โดยหลักการแล้ว การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้นนโยบายของธปท.มักจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจาก ธปท.จะมีเครื่องมือทางการเงินในการส่งผ่านนโยบายอัตราดอกเบี้ยไปสู่ตลาดการเงินและระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้นโยบายการเงินมีประสิทธิผล อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นด้วยขนาดหรือจังหวะความเร็วเท่ากับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะนอกจากธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาปัจจัยชี้นำทางด้านนโยบายจากทางการแล้ว การตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณสภาพคล่องคงค้าง และปัจจัยทางด้านการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ การขยายสินเชื่อ และภาวะการแข่งขัน ระหว่างธนาคารพาณิชย์และช่องทางการลงทุนอื่น ซึ่งในรอบนี้ แม้สภาพคล่องธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่หากมีการแข่งขันที่เข้มข้นอย่างต่อเนื่องหรือสินเชื่อเติบโตรวดเร็วตามคาด อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เริ่มตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วขึ้น รวมทั้งคิดค้นสรรหาผลิตภัณฑ์เงินฝากที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด
ภาวะการแข่งขันกับช่องทางการลงทุนอื่นที่ยังมีแนวโน้มรุนแรง โดยเฉพาะหลังจาก ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์การลงทุนในต่างประเทศ ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศที่มีแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น
สำหรับอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์เข้าสู่ภาวะการแข่งขันทางด้านราคาเงินฝากเร็วและเข้มข้นขึ้นนั้น คงจะขึ้นอยู่กับการแข่งขันที่มีแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นระหว่างเงินฝากกับช่องทางการลงทุนอื่นๆ อาทิ กองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) พันธบัตรออมทรัพย์ภาครัฐ และหุ้นกู้ภาคเอกชน เป็นต้น โดยการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนคลายเกณฑ์การดูแลการไหลออกของเงินทุนโดยการขยายวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนสถาบันจาก 3 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ไปเป็น 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ นั้น (เริ่มบังคับใช้ 2 ก.พ. 2553) คงจะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ บลจ.ในการนำเสนอ FIF ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพอสมควรเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวะที่เริ่มมีสัญญาณการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางบางประเทศในเอเชียและการแข็งค่าของค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ ท่ามกลางแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศเหล่านี้ ดังนั้น จะเห็นว่าแม้ในปี 2553 จะมีกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีใต้ครบกำหนดอายุไถ่ถอนมากถึงประมาณ 2.8 แสนล้าน บาท แต่คาดว่าบลจ.ต่างๆคงจะต้องสรรหาผลิตภัณฑ์กองทุนรวมอื่นๆ และแสวงหาลู่ทางไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันมิให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิและส่วนแบ่งตลาดลดลงไป
นอกจากนี้ แม้ในปี 2552 ที่ผ่านมา จะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งมูลค่าประมาณ 8 หมื่นล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ธปท.มูลค่าประมาณ 1.3 แสนล้านบาท รวมทั้งการเสนอขายหุ้นกู้ภาคเอกชนมากถึง 3.9 แสนล้านบาท แต่ในปีนี้ จากแนวโน้มสัญญาณอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของไทย อาจจะทำให้มีการออกพันธบัตรภาครัฐและหุ้นกู้ภาคเอกชนเพิ่มเติมเพื่อเป็นการล็อคต้นทุนการจ่ายอัตราผลตอบแทนก่อนที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับขึ้น ดังนั้น ในปี 2553 ยิ่งภาวะการแข่งขันกับทางเลือกในการออมอื่นๆ ดังกล่าวอยู่ในระดับที่เข้มข้นมากขึ้นเท่าใด คงจะมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารพาณิชย์ในการเร่งเข้าสู่การแข่งขันทางด้านเงินฝากมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและส่วนแบ่งตลาด ตลอดจนรักษาสภาพคล่องในจังหวะที่มีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อความต้องการและการเบิกใช้วงเงินสินเชื่อของภาคธุรกิจเอกชน
จากแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของความต้องการสินเชื่อเพื่อรองรับการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจเอกชน หากมีการขยายตัวของสินเชื่อมากจนกระทั่งสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ตัดสินใจระดมเงินฝากเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งคงจะเกิดขึ้นชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 เป็นต้นไป ในจังหวะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีความต่อเนื่องและชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนสถานการณ์การลงทุนและการเมืองน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ธปท.ได้สำรวจภาพรวมการปล่อยสินเชื่อในปี 2553 พบว่าระบบธนาคารพาณิชย์ไทยตั้งเป้าการขยายตัวของสินเชื่อเฉลี่ยประมาณ 9.8% จากปี 2552 ที่สินเชื่อติดลบเฉลี่ย 1.78% ซึ่งแต่ละธนาคารพาณิชย์ก็เชื่อว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจไทยได้ฟื้นตัวแล้ว
จากปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ดังกล่าว ผนวกกับฐานะสภาพคล่องในปัจจุบัน คงจะมีผลต่อจังหวะการเข้าสู่สนามแข่งขันด้านราคาเงินฝากของแต่ละธนาคารพาณิชย์ โดยหากธนาคารพาณิชย์ใดเล็งเห็นถึงปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้และมีมุมมองในเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจและความสามารถในการขยายสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์นั้นก็คงจะเป็นผู้เล่นลำดับแรกๆ ที่เตรียมการสะสมสภาพคล่องด้วยการระดมเงินฝากผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินออมพิเศษที่ให้ผลตอบแทนจูงใจ และ/หรืออาจจะเป็นผู้นำในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาว (ซึ่งในท้ายที่สุดคงจะตามมาด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เป็นการทั่วไป เมื่อ ธปท.ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ขณะที่เกมการแข่งขันกันสู้ราคาเงินฝากอาจเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเมื่อธนาคารพาณิชย์จำนวนมากขึ้นมีมุมมองในทิศทางเดียวกันและทุกธนาคารไม่ต้อง การเป็นผู้เล่นลำดับท้ายๆ ที่ระดมเงินฝาก เพราะอาจต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงกว่าเพื่อดึงลูกค้ากลับมา
ภายใต้กลไกการแข่งขันในด้านเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ข้างต้น ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า เงินฝากธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศอาจมีแนวโน้มขยายตัวในกรอบประมาณ 4.7-5.7% ในปี 2553 เทียบกับที่ขยายตัวเพียง 0.10% ในปี 2552 ขณะที่รูปแบบผลิตภัณฑ์เงินฝากอาจจะมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในการขยายฐานลูกค้าของแต่ละธนาคารพาณิชย์ โดยมองว่า การนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในระยะถัดไป อาจจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำพิเศษที่มีระยะเวลายาวขึ้น ผลิตภัณฑ์เงินฝากพ่วงกับผลิตภัณฑ์การลงทุนอื่นๆ เช่น ประกันชีวิต และกองทุนรวม เป็นต้น นอกจากนี้ ก็คงจะเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากที่เจาะจงลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ตรงตามวิถีการดำรงชีวิตและความต้องการของ ลูกค้าในแต่ละกลุ่มมากขึ้น ดังเช่น ในปี 2552 ที่มีการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งจะช่วยผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์ก็อาจมีการทยอยนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากรองรับเทศกาลต่างๆ อาทิ สงกรานต์ วันแม่ และวันพ่อ เป็นต้น ซึ่งเงื่อนไขก็คงจะเน้นการให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหากฝากเงินภายใต้โครงการดังกล่าว ตลอดจนจูงใจผู้ฝากเงินโดยการมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ การรับสิทธิชิงรางวัลแพคเกจท่องเที่ยวหรือของกำนัล
กล่าวโดยสรุป จากภาพการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของแรงกดดันเงินเฟ้อ ทำให้มีการคาดการณ์ว่าการแข่งขันทางด้านราคาเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในปี 2553 คงจะเข้มข้นขึ้น โดยภาวะการแข่งขันด้านราคาเงินฝากของธนาคารพาณิชย์จะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด คงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มิอิทธิพล ดังต่อไปนี้ การส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปี 2553 ซึ่งแม้ว่าโดยทั่วไปธนาคารพาณิชย์มักปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจจะผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์เข้าสู่ภาวะการแข่งขันทางด้านราคาเงินฝากเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันที่มีแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นระหว่างเงินฝากกับช่องทางการลงทุนอื่นๆ อาทิ กองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) พันธบัตรออมทรัพย์ภาครัฐ ตลอดจนหุ้นกู้ภาคเอกชน เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจัยที่น่าจะมีน้ำหนักมากที่สุดก็คือแนวโน้มการขยายตัวอย่างมากของความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจเอกชนเพื่อรองรับการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อดังกล่าวอาจส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ตัดสินใจระดมเงินฝากเพิ่มเติมและเข้าสู่การแข่งขันในการดึงราคาเงินฝากที่ชัดเจนขึ้นในอนาคต
สำหรับผลิตภัณฑ์เงินฝากในปี 2553 นั้น ธนาคารพาณิชย์คงจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษที่มีระยะยาวขึ้น ผลิตภัณฑ์เงินฝากพ่วงกับผลิตภัณฑ์การลงทุนอื่นๆ และผลิตภัณฑ์เงินฝากที่เจาะจงลูกค้าเฉพาะกลุ่ม รวมทั้งผลิตภัณฑ์เงินฝากรองรับเทศกาลต่างๆ ซึ่งคงจะมีความซับซ้อนและแตกต่างกันระหว่างธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งภาพรวมการแข่งขันด้านราคาเงินฝากที่คงจะเข้มข้นขึ้น และรูปแบบผลิตภัณฑ์เงินฝากที่คงจะหลากหลายมากขึ้นดังกล่าว ก็ล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์กับผู้ออมมากขึ้นกว่าในปี 2552
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
|
Comments