KSL เปิดโผ บจ. เซ่นเผาเมือง
|
|
Wednesday, 26 May 2010 08:11 |
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ KSL รายงาน ผลกระทบของธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จากการได้รับความเสียหายกรณีการจราจลขั้นรุนแรงถึงรุนแรงมากในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยผลการค้นหาของฝ่ายวิจัยมี ดังนี้
ผลกระทบต่อห้างสรรพสินค้า
ห้างสรรพสินค้า Central World (CPN) ห้างสรรพสินค้า Zen ซึ่งเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าในอาคาร CTW (อีกห้างหนึ่งคือ Isetan) ได้รับความเสียหายทั้งหมดหลังจากโครงสร้างได้พังทลายลงมา อย่างไรก็ดี บริเวณ shopping plaza ได้รับความเสียหายเพียงบางส่วนเท่านั้น ผู้บริหารอาวุโสของ CPN กล่าวว่า CTW ได้รับความคุ้มครองบางส่วนจากการทำประกันคุ้มครองกรณีการก่อการร้าย (ซึ่งเป็นคำที่รัฐบาลใช้เรียกการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง) มูลค่า 3.5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีประกันความเสี่ยงเชิงธุรกิจทั้งหมดและประกันประเภทที่คุ้มครองเมื่อกิจการหยุดทำการ มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท จากบทสัมภาษณ์จากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่ง บริษัทประเมินเบื้องต้นว่า เพลิงไหม้ได้ก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 30% ของโครงการ CTW ทั้งหมดหรือประมาณ 7.8 พันล้านบาทจากมูลค่าโครงการรวม 2.6 หมื่นล้านบาท คาดว่า CTW จะสามารถกลับมาให้บริการได้อีกครั้งในอีก 6 เดือนข้างหน้าเป็นอย่างเร็ว
ดังนั้น CPN จึงอยู่ระหว่างการทบทวนแผนเดิมที่จะปิดห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าวซึ่งเป็น flagship store เพื่อปรับปรุงใหม่ในช่วง 2H10 โดยอาจจะเลื่อนการปรับปรุงห้างเช็นทรัล ลาดพร้าวไปก่อนและเปิดให้บริการในระหว่างดำเนินการซ่อมแซม CTWบล.พัฒนสิน คาดว่า ราคาหุ้น CPN จะปรับสูงขึ้นหลังจากมีความชัดเจนเรื่องการจ่ายเบี้ยประกันภัย อย่างไรก็ดี ในด้านของการเริ่มเปิดดำเนินการในส่วนที่ถูกเพลิงเผาผลาญหมดที่อาจจะล่าช้า และยังไม่ชัดเจน จะส่งผลลบต่อ Downward revision เพราะ CTW มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 18% ของทั้งหมด (ปีละ 2 พันล้านบาท) และอาจมีผลกระทบจากการชำระรายเดือนของผู้เช่า
เนื่องจาก CTW ปิดทำการตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา CFO ของ Minor International (MINT) กล่าวว่าธุรกิจร้านอาหาร (ได้แก่ The Pizza Company, Swensen และ Sizzler) และร้านเสื้อผ้า (GAP) ขนาดใหญ่ของบริษัทไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ที่ CTW มากนัก อย่างไรก็ดี เคานเตอร์เครื่องสำอางและเสื้อผ้าอื่นๆ อีกหลายแบรนด์ที่อยู่ใน Zen ถูกเพลิงไหม้หมด
สำหรับ BIG C Supercenter Plc (BIGC) ซึ่งได้แก่ห้าง BIGC สาขาราชดำริซึ่งเป็น flagship store ของบริษัทก็ถูกวางเพลิงด้วยเช่นกัน มีรายงานข่าวว่าบริเวณชั้นล่างและชั้น 2 ของห้างได้รับความเสียหาย แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าโครงสร้างของอาคารได้รับความเสียหายด้วยหรือไม่ โดยหนังสือพิมพ์ Bangkok Post รายงานว่าห้าง BIGC ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของกลุ่ม France Casino Group ก็มีการทำประกันความเสี่ยงเชิงธุรกิจทุกประเภทที่รวมถึงการจลาจลและการก่อความไม่สงบมูลค่า 2.3 พันล้านบาท โดย 200-300 ล้านบาทจะรับประกันโดย บริษัทไทยรับประกันภัยต่อ (Thai Reinsurance)
ส่วน Channel 3/BEC World (BEC) ทางรองประธานบริษัท BEC นาย Chatchai Thiamtong ได้แจ้ง ตลท.ผ่านทาง email ว่าอาคารมาลีนนท์ไม่ได้เสียหายรุนแรงอย่างที่คาดไว้เบื้องต้น เนื่องจากระบบ Springer สามารถช่วยดับไฟอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี ความเสียหายของห้อง Power Room ทำให้สถานีต้องหยุดถ่ายทอดตั้งแต่บ่ายวันพุธที่ 19 พฤษภาคมเป็นต้นไป จนถึงเวลา 11.30 น.ในวันศุกร์ ที่ 21 พฤษภาคม
ด้าน 7-Eleven (CPALL) รองผู้อำนวนการบริหารอาวุโสของบริษัทฯแจ้งว่ามีจำนวนน้อยกว่า 10% ของห้าง 7-11 ในกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ศอฉ.แจ้งว่ามีเพียง 2 สาขา ที่ได้รับผลกระทบ
บล.พัฒนสิน คาดว่า MINT BIGC BEC CPALL จะมีผลกระทบจำกัด เนื่องจากคาดว่าจะเป็นผลกระทบครั้งเดียวและส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดดี เรามองว่าการปรับลดลงอาจเป็นจังหวะที่ดีของการสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว
กลุ่มขนส่งได้รับผลกระทบอย่างไร
สำหรับกลุ่มขนส่ง ประเมินว่า ปริมาณผู้โดยสารของ AOT อาจได้รับผลกระทบระยะสั้นๆ จากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามเราคาดว่าสมมติฐานของ บล.พัฒนสิน ได้สะท้อนปัจจัยนี้ไปพอสมควร โดยที่ในเดือน เมษายน 2553 ซึ่งเกิดเหตุรุนแรงใน กทม. และการปิดน่านฟ้ายุโรปชั่วคราวประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ปริมาณเครื่องบิน และปริมาณผู้โดยสารของ AOT ยังคงเติบโต 8.5% y-y และ 3.5% y-y ตามลำดับ ส่งผลให้ปริมาณเครื่องบินในรอบ 7MFY10 มีจำนวน 232,024 เที่ยว (+15% y-y) คิดเป็นสัดส่วน 63%ของประมาณการทั้งปีที่ 367,284 เที่ยวบิน (+6% y-y)
และปริมาณผู้โดยสารจำนวน 36.4 ล้านคน (+23% y-y) คิดเป็นสัดส่วน 68% ของประมาณการทั้งปีที่ 53.6 ล้านคน (+7% y-y) เรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าในช่วงเดือนพฤษภาคม – กันยายน 2553 ปริมาณเครื่องบินและผู้โดยสารน่าจะลดลงเฉลี่ยประมาณ 7% y-y และ 16% y-y ตามลำดับ
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่การที่ AOT อาจมีมาตรการช่วยเหลือสายการบินและผู้เช่าพื้นที่เพิ่มเติมซึ่งในปัจจุบัน ได้สมมติฐานว่า AOT จะให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมการจอดเครื่องบิน (LPC) ในอัตรา 10% ในการประมาณการกำไรปกติปี FY10F ที่คาดไว้ที่ 1,712 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรา LPC เฉลี่ยที่ 18,200 บาท/เที่ยวบิน
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ sensitivity analysis ชี้ให้เห็นว่าหากอัตราส่วนลด LPC เพิ่มขึ้นเป็น 30% ในช่วง 2HFY10F ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่สายการบินได้รับหลังจากได้รับผลกระทบจากการบิดสนามบินในช่วงปลาย 2008 บล.พัฒนสิน ระบุว่า อาจต้องปรับลดประมาณการกำไรปกติปี FY10F ลง 11% เป็น 1,517 ล้านบาท และไม่มีผลกระทบต่อราคาพื้นฐานที่ 48 บาท/หุ้น แต่ทั้งนี้ยังคงเชื่อว่าเหตุการณ์ในเวลานี้เป็นสถานการณ์ระยะสั้น และผลกระทบจะคลี่คลายลงเมื่อเหตุวุ่นวายทางการเมืองจบลง
ส่วน THAI เช่นเดียวกับกรณีของ AOT เราเชื่อว่าสมมติฐานปริมาณผู้โดยสารของ THAI ในปี 2010F สะท้อนปัจจัยลบจากเหตุดังกล่าวไปพอสมควร โดยเราสมมติฐาน RPK growth 7% (เทียบกับ RPK growth 18% ในงวด 1Q10) และอัตราขนส่งผู้โดยสาร(passenger load factor) ที่ระดับ 74.6% (เทียบกับ 81% ในงวด 1Q10) รวมทั้งสถิติในอดีตชี้ว่า RPK growth มักจะฟื้นตัวเร็วหลังเหตุรุนแรงทางการเมืองสิ้นสุดลง 2-3 เดือน
นอกจากนี้ ปริมาณรถผ่านทางของ BECL อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน แต่คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้นเพียง 1-2 เดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นสาธารณูปโภคที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้บริการ
ในส่วนของระบบทางด่วนที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุเผาที่บริเวณบ่อนไก่ คาดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก เนื่องจากเป็นทางด่วนขั้นที่ 1 ซึ่งคาดว่าอยู่ในความรับผิดชอบของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)
อย่างไรก็ตาม ปริมาณรถผ่านทางในงวด 4M10 ของ BECL มีการเติบโต 2% ใกล้เคียงกับประมาณการทั้งปี แม้ว่า บล.พัฒนสิน ประเมินว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงต่อสมมติฐานได้ โดยหากปริมาณรถเติบโตน้อยลงเป็น 1% อาจทำให้เราต้องปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2010F ของ BECL ลดลงจากเดิม 2% เป็น 1,636 ล้านบาทแต่ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าพื้นฐานที่ 25 บาท
อย่างไรก็ดี เรายังคงแนะนำ BULLISH กลุ่มขนส่ง โดยหุ้น Top Pick ยังคงเป็น AOT (ราคาพื้นฐาน 48 บาท) และ TTA (ราคาพื้นฐาน 27.50 บาท) จากการฟื้นตัวของกำไรสุทธิในปี FY10F และราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญโดยเชื่อว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นๆ เท่านั้น รวมทั้งสถิติในอดีตชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวมักจะฟื้นตัวเร็วหลังเหตุรุนแรงทางการเมืองสิ้นสุดลงประมาณ 2-3 เดือน
โรงแรมที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าวว่าได้มีการปรับลดเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ โดยปรับลดลงเท่ากับปี 2009 ที่ 13 ล้านคน จากเป้าหมายเดิม 16 ล้านคน หรือ +23% y-y อย่างไรก็ดี อาจกล่าวได้ว่าผลที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อาจจะเรียกได้ว่าเหมาะสมที่สุด เนื่องจากไตรมาส 2 มักจะเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของปีสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวของไทย ประเด็นสำคัญในขณะนี้อยู่ที่ว่าความพยายามของรัฐบาลในการวาง แผนการฟื้นฟู (มูลค่าอย่างน้อย 6.6 พันล้านบาท) จะสามารถช่วยฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดได้ทันก่อนที่จะถึงช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วง high season หรือไม่
บล.พัฒนสิน ประเมินว่า กลุ่มโรงแรมจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบสูงสุด จากการฟื้นตัวอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน และมี Downward Earnings Revision จากแนวโน้ม Occupancy rate ที่ต่ำกว่าคาด(เดิมเราประมาณการที่เฉลี่ย 60% โดยหุ้นที่มีผลกระทบเชิงลบสูงสุดคือ ERAWAN และน้อยที่สุดคือ MINT)
สำหรับ The Erawan Group (ERAWAN) หรือ โรงแรม Grand Hyatt Erawan จะเริ่มเปิดทำการเป็นครั้งแรกในวันที่ 26 พฤษภาคม และCourtyard โดย Marriott จะเริ่มเปิดทำการครั้งแรกในวันที่ 24 พฤษภาคม ก่อนหน้านี้ กลุ่ม ERAWAN คาดว่า บริษัทต้องเสียรายได้ไปประมาณเดือนละ 90 ล้านบาท จากโรงแรม 2 แห่ง ที่ต้องปิดทำการไป 10 สัปดาห์นับตั้งแต่กลุ่ม นปช.เข้ามาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ขณะที่ JW Mariott เป็นเพียงโรงแรมเดียวที่ยังคงเปิดทำการตามปกติ
ส่วน Minor International (MINT) หรือ โรงแรม Four Season จะเริ่มเปิดทำการใหม่ในวันที่ 24 พฤษภาคม และ Centara Grand Hotel (CENTEL) หรือโรงแรม Central Grand Hotel ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ตามที่เป็นข่าวแต่ได้รับผลกระทบจาก จำนวนผู้เข้าพัก โดยคาดจะขาดรายได้ประมาณ 160 ล้านบาท
บล.พัฒนสิน มีแนวโน้มปรับลดประมาณการ อัตราเข้าพัก ลง 5%-10% จากสมมติฐาน average occupancy rate (OCR) ปัจจุบัน ที่เฉลี่ยที่ระดับ 59-60% พบว่า ERAWAN จะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเราได้ทำกรณีศึกษา หาก OCR rate ปรับลดลง 5-10% จะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานให้ปรับลดลง 82-164% จากกรณี Base Case ในขณะที่ MINT คาดจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หาก OCR rate ปรับลดลง 5-10% จะมีผล กระทบต่อกำไรสุทธิราว 3-5% จาก กรณี Base Case เนื่องจาก รายได้จากธรุกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 25% ของรายได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ หากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น และไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงต่อจากนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติใน 4Q10F ซึ่งขณะนี้ บล.พัฒนสิน อยู่ระหว่างการปรับปรุงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2010F และทบทวนคำแนะนำของหุ้นรายตัว พร้อมทั้งคาดว่า อัตราการเข้าพักที่ต่ำกว่าคาด จะส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มโรงแรม อย่างไรก็ดี การมีฐานกำไรที่ต่ำจากวิกฤตในปีก่อน และการเป็น Low Seasonal Effect ในไตรมาส 2-3 ของทุกปีส่งผลให้ผลกระทบมีจำกัด โดยต้องลุ้นตัวเลขไตรมาส 4/10 เป็นตัวแปรหลัก
กลุ่มแบงก์ ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
ด้านกลุ่มธนาคาร พบว่า 19 สาขาของธนาคารพาณิชย์ ได้รับความเสียหายจากผู้ก่อการร้าย โดย 10 สาขาเป็นของ BBL, 3 สาขาของ KBANK และ SCIB , 2 สาขาจาก KTB และ 1 สาขาจาก SCB ในขณะที่ธนาคารส่วนใหญ่ยังไม่ได้ประเมินความเสียหายโดยละเอียด (บางสาขามีรายงานว่าถูกเพลิงไหม้ทั้งหมด) เจ้าหน้าที่ของ KBANK และ SCB แจ้งว่ามีการทำประกันคุ้มครองความเสียหายทั้งหมด ส่วนตู้เซฟและระบบนิรภัยของเครื่อง ATM น่าจะช่วยรักษาความปลอดภัยของเงินสดและเอกสารสำคัญไว้ได้
ทั้งนี้ คาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารไทยน่าจะอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยคาดว่าผลกระทบของสถานการณ์ทางการเมืองไทยล่าสุดนี้ จะไม่ส่งให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ รวมถึง ระดับการตั้งสำรองหนี้ของธนาคารพาณิชย์ไทยสำหรับปี 2010F ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสถานะเงินสำรองหนี้ของธนาคารไทยที่แข็งแกร่ง (ดู Exhibit 11)
ประกอบกับความสามารถในการบริหารและควบคุม NPLs ของธนาคารไทยที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยยังสามารถควบคุม NPLs ให้ปรับลดลงได้ต่อเนื่องเหลือ 5.5% ณ 1Q10 แม้ว่าจะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วง 2H08 อาจมี downside risks ต่อประมาณการการเติบโตของสินเชื่อในปี 2010F หากปัญหาทางการเมืองยังคงยืดเยื้อ คาดว่ามีโอกาสที่จะเห็น downside risk ต่อ ประมาณการการเติบโตของสินเชื่อปี 2010F ของธนาคารพาณิชย์ 10 แห่งที่ บล.พัฒนสิน ศึกษาที่ได้ประเมินไว้ที่ +7% y-y
ทั้งนี้ จากการศึกษาของเรา การเติบโตของสินเชื่อที่ลดลงต่ำกว่าประมาณการทุกๆ 1% จะส่งผลให้กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารในปี 2010F ลดลงประมาณ 0.5-1% ทั้งนี้ หากอิงจากสมมติฐานกรณีแย่สุด (bad case, ความเป็นไปได้ที่จะเกิด 15%) ของ Nomura ที่คาดว่าจะอัตราการเติบโตของ GDP ปี 2010F ของไทยจะลดลงเหลือ +1.5% vs. consensus ที่ประเมินไว้ที่ประมาณ +2.5% (+/-) และเทียบกับกรณีพื้นฐาน (base case) ของ Nomura ที่ +3.3% (ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น 60%)
โดยหากอิงจากกรณีแย่สุด ประเมินว่าประมาณการการเติบโตของสินเชื่อและกำไรสุทธิปี 2010F ของกลุ่มธนาคารที่เราศึกษาจะปรับลดลงประมาณ 2.7-3.6% และ 2-4% ตามลำดับ จากประมาณการเดิม โดยปัจจุบันเราประมาณการการเติบโตของสินเชื่อและกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารฯสำหรับปี 2010F ไว้ที่ +7% และ+16% ตามลำดับ
บล.พัฒนสิน ประเมินว่า ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 1.การบันทึกค่าใช้จ่ายครั้งเดียว ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฐานกำไรของกลุ่มแบงก์ 2.NPL อาจเร่งตัวขึ้น แต่คาดว่าจะไม่ได้มีนัยมากนักเมื่อเทียบกับการตั้งสำรองที่มีอยู่ 3.สินเชื่อรวมอาจต่ำกว่าคาดการณ์เดิม 7% (คาดลดลงประมาณ 1.4%) และส่งผลกระทบต่อกำไรจำกัด 1-2 % เท่านั้น สำหรับหุ้นแบงก์ ยังคงแนะนำ หุ้นแบงก์ใหญ่ KBANK SCB BBL
Media & Publishing (BULLISH) ส่วน Media & Publishing คาดว่าจะได้รับผลกระทบระยะสั้น จากเหตุรุนแรงทางการเมือง โดยเฉพาะ BEC ได้รับผลกระทบจากการที่อาคารออกอากาศที่สำนักงานใหญ่ อาคารมาลีนนท์ ถ.พระรามสี่ ถูกเผาจนไม่สามารถใช้การได้ ทำให้ต้องหยุดออกอากาศตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 19/5/10 จนถึง 11.30 น. ของวันที่ 21/5/10 รวม 2 วันทำการ และแม้ว่าจะกลับมาออกอากาศได้ดังเดิม แต่ผังรายการยังไม่เป็นปกติ โดยในวันที่ 21/5/10 บริษัทหยุดออกอากาศในเวลา 24.00 น. โดยไม่สามารถออกอากาศรายการ Variety ช่วง Late prime time ได้
อย่างไรก็ตาม BEC สามารถออกอากาศรายการละครและข่าว ทั้งในช่วง Early-prime time และ Prime time ได้ตามปกติตั้งแตวันที่21/5/10 (เราประเมินเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของรายการทั้งหมด)
ในส่วนของค่าเสียหายจากการถูกเผา ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอในการประเมินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น แต่คาดว่าน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่จะเกิดขึ้นในปี 2010F และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อมูลค่าพื้นฐาน (TP)
ส่วนในแง่ของการสูญเสียรายได้ จากที่กล่าวมาข้างต้นว่าผังรายการยังไม่เป็นปกติ และน่าจะยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการ อาจทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2010F อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลง โดยได้ประเมินแบบอนุรักษ์นิยมว่า หาก BEC ต้องสูญเสียรายได้จากโฆษณาไป 30% (นอกช่วง Early prime time และ Prime time) ประมาณ 2 สัปดาห์ รวมกับที่ต้องหยุดออกอากาศไป 2 วัน จะทำให้รายได้รวมลดลงจากประมาณการเดิม 2% เป็น 9,474 ล้านบาท กำไรสุทธิลดลงจากประมาณการเดิม 3% เป็น 2,835 ล้านบาท และ TP ลดลงจากเดิม 0.4% เป็น 26.90 บาท/หุ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับ MCOT ไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกเผาทำลาย แต่ในส่วนของการออกอากาศ ผังรายการของ MCOT มีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน โดยเน้นรายการทางด้านข่าวสารเป็นสำคัญ และส่วนใหญ่ไม่มีโฆษณา และในช่วงที่มีการประกาศเคอร์ฟิว MCOT ไม่สามารถออกอากาศรายการ “ข่าวข้นคนข่าว” รวมทั้งไม่มีการออกอากาศรายการ Variety ช่วงค่ำและช่วงดึก อย่างไรก็ตามการสูญเสียรายได้ดังกล่าวไม่น่าจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากเป็นผลกระทบระยะสั้นๆ
ส่วน MAJOR โรงภาพยนตร์ที่อยู่ในศูนย์การค้าในบริเวณพื้นที่เสี่ยงของ MAJOR ไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกเผา โดยสาขา Siam Paragon ซึ่งเป็นสาขาที่ทำรายได้สูงไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกเผา มีเพียงสาขา EGV Metropolis ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเผาห้าง BIGC บริเวณชั้นล่าง ซึ่งจนถึงขณะนี้เรายังไม่ทราบว่าผลกระทบจากการเผาดังกล่าวทำให้โครงสร้างทั่วไปถูกทำลายหรือไม่ อย่างไรก็ตามหากสาขานี้ไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้จริง อาจไม่กระทบต่อ MAJOR มากนัก เนื่องจากเป็นสาขาที่ไม่ทำกำไรอยู่แล้ว
แต่ทั้งนี้ MAJOR น่าจะได้รับผลกระทบจากการประกาศเคอร์ฟิว โดยสาขา 9 แห่ง ใน กทม. หยุดให้บริการทั้งวันในวันที่ 20/5/10 และปิดให้บริการเวลา 18.00 น. ระหว่างวันที่ 21-22/5/10 ตลอดจนปิดให้บริการเวลา 21.00 น. ระหว่างวันที่ 23-24/5/10 ส่วนสาขาในต่างจังหวัดได้รับผลกระทบเกือบทั้งหมดได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม อยุธยา ชลบุรี เชียงใหม่ นครสวรรค์ อุดรธานี นครราชสีมา (EGV) อุบลราชธานี ยกเว้นสาขาฉะเชิงเทรา พิษณุโลกหัวหิน สมุย พัทยา (ยกเลิกเคอร์ฟิวในวันที่ 21/5/10) กระบี่ เพชรบูรณ์ ราชบุรี รวม 37 โรงภาพยนตร์ คิดเป็นสัดส่วน 10% ของโรงภาพยนตร์เครือ MAJOR ทั้งหมด 360 โรง
อย่างไรก็ตาม โรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดคาดว่าไม่มีสัดส่วนรายได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้ เพราะภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายคาดว่าไม่ได้รับความนิยมมากนักรายได้ที่ได้รับผลกระทบน่าจะเป็นรายได้จากตั๋วภาพยนตร์, อาหาร, โฆษณา, โบว์ลิ่ง และค่าเช่า (คาดว่า MAJOR อาจจะลดค่าเช่าให้กับผู้เช่าเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้เช่า) ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2010F อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลง โดยมีเพียงรายได้จากธุรกิจบริหารลิขสิทธิภาพยนตร์ (MPIC) ที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ (ประมาณ 16% ของรายได้รวมของ MAJOR)
บล.พัฒนสิน ประเมินว่า หาก MAJOR ต้องสูญเสียรายได้เหล่านี้ไปประมาณ 1 สัปดาห์ จะทำให้รายได้รวมลดลงจากประมาณการเดิม 2% เป็น 6,314 ล้านบาท และกำไรสุทธิลดลงจากประมาณการเดิม 1% เป็น 338 ล้านบาท โดยไม่มีผลกระทบต่อ TP (ที่ 11.00 บาท/หุ้น) ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนั้น MAJOR อาจได้รับผลบวกจากการที่คู่แข่ง (SF สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกับสาขา Siam Paragon ของ MAJOR) ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกเผา แต่เนื่องจากอาคารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ในพื้นที่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายมาก ทำให ? SF อาจไม่สามารถเปิดให้บริการได้อย่างรวดเร็ว Media and Publishing Sector
อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำ BULLISH กลุ่มสื่อฯ โดยหุ้น Top Pick ยังคงเป็น BEC (ราคาพื้นฐาน 27 บาท) และ MAJOR (ราคาพื้นฐาน 11 บาท) จากผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตในปี 2010-11F ตลอดจน BEC ไม่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ของ พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ (ปัจจุบันยังเป็นร่างกฎหมาย) และการจัดตั้ง กสทช. ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นใน 2H11F
โดยเชื่อว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้างต้นจะเห็นว่า รายได้ที่อาจต้องสูญเสียไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรสุทธิปี 2010F และราคาพื้นฐานของ BEC และ MAJOR ที่มา บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)
|
Comments