| "ปูนซิเมนต์ไทย" รับบาทแข็งกระทบธุรกิจเล็กน้อย |
|
| Monday, 18 October 2010 17:18 | |||
|
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) หรือ ปูนใหญ่ กล่าวว่า ทุกบริษัทของไทย รวมทั้งปูนใหญ่ ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แข็งค่าขึ้นแล้วร้อยละ 10 ซึ่งเป็นภาวะเดียวกับประเทศในภูมิภาคนี้หลายแห่ง เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย โดยมีเพียงเวียดนาม และจีนเท่านั้นที่อ่อนค่ากว่า ดังนั้น จึงส่งผลกระทบต่อการส่งออก เพราะทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้น โดยบริษัทยอมรับว่า มีผลกระทบเชิงลบต่อผลประกอบการ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปูนใหญ่ ธุรกิจส่วนใหญ่ในขณะนี้คือ ปิโตรเคมี ซึ่งมีการนำเข้าสินค้าทุนและเครื่องจักรในรูปเงินดอลลาร์ และมีการขายในรูปดอลลาร์ จึงเท่ากับได้รับผลกระทบน้อย เพราะถือว่าเป็นการประกันความเสี่ยงตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับตัวโดยมุ่งเน้นธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 29 จาก 6 ปีก่อนร้อยละ 4 ของสินค้าทั้งหมด ขณะที่รายได้จากการส่งออกของเครือปูนซิเมนต์ มีสัดส่วนร้อยละ 29 ของรายได้ทั้งหมด นายกานต์ กล่าวว่า คาดหวังว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 20 ตุลาคม 2553 นี้ คงจะมีการพิจารณาภาพรวมควบคู่กันระหว่างเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนว่า จะทำอย่างไรให้เกิดความสมดุลและดีที่สุดต่อประทศ ซึ่งจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์ก่อนที่ดูแลค่าเงินบาทด้วยการสกัดการเก็งกำไร ปรากฏว่า ได้ผลระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเก็งกำไรของนักลงทุนข้ามชาติจะดูเรื่องภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เมื่อเศรษฐกิจเอเชียดีก็จะเข้ามาเก็งกำไร แต่เมื่อเศรษฐกิจประเทศอื่นมีการปรับตัวดีขึ้น ก็จะเคลื่อนย้ายเงินลงทุนต่อไป นายกานต์ ยังกล่าวถึงการจัดงานสัมมนาการสร้างความยั่งยืนต่อประเทศไทยในระยะยาวว่า เป็นการระดมความเห็น เพราะเศรษฐกิจโลกในอนาคตจะต้องมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ให้ความสำคัญทั้งด้านภาคธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากรายงานของมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด ล่าสุดพบว่า MEGA TRANE ในยุคต่อไป คือ การพัฒนาที่มีความยั่งยืน จากที่ช่วงค.ศ.1970 เน้นให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ค.ศ.1980-1990 เน้นอินเทอร์เน็ต ไอทีและการสื่อสาร ดังนั้น การปรับตัวการผลิตสินค้าที่เน้นความยั่งยืนหรือธุรกิจสีเขียวจะมีความสำคัญ ซึ่งหากรายใดปรับตัวได้ ก็ถือเป็นโอกาสด้านการแข่งขันในเศรษฐกิจโลก แต่หากรายใดไม่ปรับตัว ก็ถือว่าธุรกิจสีเขียวจะเป็นภัยคุกคามและแข่งขันไม่ได้
|
Comments