นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ไม่ค่อยเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ให้เรียกเก็บภาษี 3%กับเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากมองว่ามาตรการนี้น่าจะส่งผลกระทบหนักขึ้นกว่า มาตรการเก็บภาษี 15% จากผลตอบแทนพันธบัตรที่ออกไปก่อนหน้านี้ของกระทรวงการคลัง เพราะการเก็บภาษี 3%จากเงินที่ไหลเข้ามาจะเลยเพิ่มต้นทุนให้นักลงทุน ฉะนั้น ถ้าให้เสนอแนะเราเห็นว่าภาครัฐควรหามาตรการจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในระยะยาวมากขึ้นจะดีกว่า

          “คิดว่าข้อเสนอให้เก็บภาษี 3%จากเงินต้นที่ไหลเข้ามาเลยคงไม่เหมาะสมนัก นักลงทุนคงไม่เข้าใจ เพราะผลตอบแทนที่ได้รับจะน้อยลง ไม่จูงใจ เพราะปัจจุบันผลตอบแทนตราสารหนี้ก็ไม่ได้สูง ดังนั้น จึงอยากให้มีแค่มาตรการที่ออกมาดูแลเฉพาะเงินทุนระยะสั้นจะดีกว่า เพราะนักลงทุนผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศ(นันเรสซิเด้นท์)มักจะเข้ามาเล่นสั้นมากกว่าระยะยาว เห็นจากสัดส่วนที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาด 70-80%เป็นพันธบัตรระยะสั้น” นายนิวัฒน์กล่าว

          ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เมวกุล อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เสนอให้กระทรวงการคลังควรใช้มาตรการชะลอเงินทุนไหลเข้าด้วยการเก็บภาษีจากนักลงทุนต่างชาติ ที่นำเงินเข้ามาซื้อตราสารหนี้ โดยให้เก็บภาษีจากเงินต้นที่ไหลเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้เท่านั้น ไม่ใช้กับเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้น ในอัตรา 3% เพื่อชะลอเงินทุนไหลเข้า

          อย่างไรก็ตาม ในเรื่องมาตรการเก็บภาษี 15%ของผลตอบแทนพันธบัตร จากเดิมที่ยกเว้นให้นักลงทุนต่างชาตินั้น สมาคมตราสารหนี้ไทยเห็นด้วย เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบกับนักลงทุนมากนัก เนื่องจากเป็นการเก็บภาษีจากกำไร และ15%ถือว่าเก็บไม่สูง จึงไม่กระทบตลาด เห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิ แม้มูลค่าการซื้อขายจะไม่มากก็ตาม ซึ่งผลตอบแทนพันธบัตร(yeild)ยังคงที่

          ทั้งนี้ สามารถแบ่งสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ตามปริมาณที่เข้ามาลงทุนได้เป็น การลงทุนระยะสั้น 35% การลงทุนระยะกลาง 30%และการลงทุนระยาว 35%

Written by :

กระแสหุ้นออนไลน์

 

Comments

B

i

u

Quote

Code

List

List item

URL

Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions

Submit Comment