บลจ.ธนชาต คาด AUM ปี 60 โตอีก 20% |
Friday, 11 August 2017 08:52 | |||
บลจ.ธนชาต คาดสิ้นปี AUM โตอีก 20% ชูนโยบายหุ้นเสี่ยงต่ำเป็นหลักแ ละมุ่งมั่นสร้างผู้แนะนำการลงทุ นผ่านสาขาธนาคารธนชาตอย่างแข็ งแกร่ง
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายว่ามูลค่าทรัพย์ สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 2560 จะเติบโตราว 20% จากสิ้นปี 2559 ที่มี AUM รวมทุกธุรกิจอยู่ที่ 1.89 แสนล้านบาท และปัจจุบันผ่านมา 7 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 2.19 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากธุรกิจกองทุ นรวม (Mutual Fund) เป็นหลัก โดยในปีนี้กองทุนหุ้นไทยของบริษั ทเติบโตราวๆ 44% ทำให้คาดว่าในสิ้นปี 2560 เฉพาะธุรกิจกองทุนรวมน่าจะแตะ 2 แสนล้านบาทได้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันบริษั ทฯ ออกกองทุนใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 32 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนหุ้นปันผล 2 กองทุน และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 1 กองทุน ที่เหลือเป็นกองทุนเทอมฟันด์ ในปีนี้ บริษัทฯ ได้เปิดขาย IPO กองทุนหุ้นปันผล (T-DIV) ในช่วงต้นเดือนมีนาคม แต่เนื่องจากได้รับความนิยมมากทำ ให้ไม่สามารถขยายขนาดกองทุนได้ ในช่วง IPO ดังกล่าว จึงได้เปิดขายกองทุนเปิดธนชาตหุ้นปันผล 2 (T-DIV2) เพื่อมารองรับความต้องการดังกล่ าว ประกอบกับเชื่อว่าหุ้นไทยจะยังไ ปต่อได้และหุ้นปันผลก็เป็นหุ้นที่ เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกา สรับรายได้ที่สม่ำเสมอ โดยตั้งแต่ตั้งกองทุนจนปัจจุบัน ประมาณเกือบ 6 เดือน สามารถจ่ายเงินปันผลคืนให้กับผู้ลงทุนไปแล้ว 0.2 บาทต่อหน่วย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา “บลจ.ธนชาต เน้นออกกองทุนที่มีนโยบายลงทุนใ นสินทรัพย์ที่ผันผวนต่ำกว่าหุ้น ทั่วไป ทั้งในแง่หุ้นผันผวนต่ำอย่าง Low Beta หรือหุ้นปันผลที่สามารถสร้างราย ได้อย่างสม่ำเสมอเพราะปัจจุบั นตลาดยังอยู่ในสถานการณ์ดอกเบี้ ยต่ำทั่วโลก แม้จะมีข่าวการขึ้นอัตราดอกเบี้ ยจากเฟดอยู่ก็ตาม แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับการฝากเงินห รือลงทุนแต่ในกองทุนตราสารหนี้เ ริ่มพบว่าผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่ คาดหวัง แต่การจะขยับให้ผู้ลงทุนกลุ่มนี้ไปลงทุนในหุ้นเลยคงไม่ง่ายนัก เพราะผู้ลงทุนมักไม่สามารถทนรับ ความผันผวนระหว่างทางได้ แม้จะมีสถิติยืนยันว่าหากลงทุนหุ้ นในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่ดี กว่าการฝากเงินก็ตาม” ในช่วงที่เหลือของปี บริษัทฯ มีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นไทยขนาด ใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความมั่ นคง เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยนอกจากผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รั บผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้แล้วก องทุนนี้ยังมีประกันสุขภาพมอบให้ ผู้ลงทุนด้วย เพราะบริษัทเชื่อว่าการที่ผู้ลง ทุนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ ายสุขภาพหรือไม่ต้องนำเงินที่ต้ องการลงทุนระยะยาวมาจ่ายค่ารักษ าพยาบาลระหว่างทางนั้น จะยิ่งทำให้เงินลงทุนมีโอกาสงอก เงยมากขึ้นและมากกว่า นอกจากนั้นก็คงเน้นขายกองทุนลดห ย่อนภาษี LTF /RMF ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามเทศกาลปกติ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายในการพัฒนาผู้แนะนำการล งทุนผ่านสาขาธนาคารธนชาต ที่จะมุ่งมั่นพัฒนาอย่างเต็มที่ และต่อเนื่อง โดยเน้นฝึกอบรมให้พนักงานมีความ เข้าใจ และมีความรู้เรื่องกองทุน เพื่อให้สามารถแนะนำผู้ลงทุนได้ อย่างมีคุณภาพ โดยผู้แนะนำต้องไม่ทำหน้าที่แค่ ขายกองทุน แต่ต้องรู้จักวางแผนการเงินและจั ดพอร์ตให้เหมาะสมกับเป้าหมายและ ความเสี่ยงของผู้ลงทุนได้ ส่วนมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลั ง นายโชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์มหภาค บลจ.ธนชาต กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในครึ่งปีแรกขยายตัว ได้ดีโดยเฉพาะในภูมิภาคหลักๆ ซึ่งเป็นการขยายตัวแบบเป็นไปพร้ อมๆ กัน โดยคาดว่าระยะถัดไปอาจมีชะลอตัว ลงบ้าง เพราะหากเทียบกับฐานปัจจุบันที่ อยู่ในอัตราที่สูงมาก แต่ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกยังสาม ารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจนถึ งสิ้นปีหน้า ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังคงมีการเติบโต ตัวเลขการส่งออก ตัวเลขนักการท่องเที่ยว ยังคงขยายตัวได้ ประกอบปัจจัยการเมืองในปีหน้า ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะข ยายตัวได้ใกล้กับปีนี้ คือ ใกล้ๆ ระดับ 3.5% “สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บริษัทฯ ก็ยังแนะให้นักลงทุนกระจายพอร์ต ลงทุน โดยมีเงินลงทุนบางส่วนในหุ้นต่า งประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) และตลาดยุโรป ที่คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทน ได้น่าสนใจ ส่วนตลาดอเมริกา หากนักลงทุนมีในพอร์ตก็ยังสามาร ถถือต่อได้ แต่สำหรับตลาดญี่ปุ่นอาจต้องรอ จังหวะให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงกว่ านี้ ซึ่งหากต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นก็ควรเน้นลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาห กรรม (sector) หรือเลือกเป็นรายตัวโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นสุขภาพ (Healthcare) ซึ่งสถานการณ์ก็สดใสขึ้นหลังจาก ข้อเสนอยกเลิกนโยบายโอบามาแคร์ ตกไป” “ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่น่าจะต้องจั บตาในครึ่งหลังของปี คือ อัตราเงินเฟ้อในอเมริกาและไทย เพราะ หากเงินเฟ้อในอเมริกาเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้การขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงแ ละเร็วกว่าที่คาด ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้อัตราผล ตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับสูงขึ้นซึ่งจะกระทบกับผู้ลง ทุน ส่วนไทยเอง ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดั บต่ำมาก ทำให้ค่าเงินบาทค่อนข้างมีแนวโน้ มแข็งค่าอยู่ ส่งผลให้มีกระแสเงินจากต่างชาติ ไหลเข้ามาลงทุน แต่หากอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น กว่านี้มาก ก็จะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเ งินทุนไหลออก” “สำหรับกองทุนที่แนะนำให้มีติดพ อร์ต ยังแนะนำสินทรัพย์ประเภทหุ้นมาก กว่า และควรมีหุ้นต่างประเทศในพอร์ต สำหรับสินทรัพย์ในไทย ยังแนะนำสินทรัพย์ที่ให้รายได้ส ม่ำเสมอ และผันผวนต่ำ เช่น หุ้นปันผล หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์และโค รงสร้างพื้นฐาน เพราะดอกเบี้ยไทยปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ แต่อัตราผลตอบแทนอสังหาฯ นั้นสูงพอสมควรเฉลี่ยประมาณ 5%กว่า”
|
Today | 20710 | |
Yesterday | 36228 | |
All days | 167313484 |
Comments