|
ข่าวร้ายไม่มี ทำไมหุ้นลงหลุดทุกแนวรับ
|
|
|
Thursday, 15 October 2009 14:36 |
|
นั่งจับตาตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เช้า หาข่าวที่พอจะน่าเชื่อได้ว่าเป็นปัจจัยลบที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเพราะอะไร ในตลาดต่างประเทศ ที่ให้จับตาดูกัน เช่น ในสหรัฐฯ ผลประกอบการของ "เจพีมอร์แกน เชส" และ "อินเทล คอร์ป" ก็พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเจพีมอร์แกนฯ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.59 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 82 เซนต์จาก 527 ล้านดอลลาร์หรือคิดเป็นสัดส่วนกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 9 เซนต์ ในไตรมาสเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้ว่าจะมีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 65 เซนต์ โดยรายได้คงที่ของเจพีมอร์แกนในไตรมาสเดียวกันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์มากสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่กำไรจากวานิชธนกิจอยู่ที่ 1.92 พันล้านดอลลาร์
ข่าวดีของไทยเมื่อ "กรณ์ จาติกวณิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ว่าการของไทยในธนาคารโลกได้พบปะหารือกับองค์การระหว่างประเทศ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และภาคเอกชน ในระหว่างการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมาได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน รวมทั้งได้กล่าวถึงโครงการลงทุนในแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 มีโครงการลงทุนหลายสาขา เช่น ขนส่ง การศึกษา สาธารณสุข รวมถึงความร่วมมือภายใต้กรอบ GMS ในการสร้างเส้นทางเชื่อมตะวันออกและตะวันตก (East West Corridor) โดยไทยได้ขอให้ธนาคารโลกสนับสนุนการประเมินและตรวจสอบการดำเนินโครงการให้มีความโปร่งใส
ขณะที่ธนาคารพัฒนาเอเชียได้ขอหารือเกี่ยวกับผลการศึกษาแนวทางในการจัดตั้ง ASEAN Infrastructure Fund และหารือถึงความคืบหน้าของการจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนระยะที่ 2 ของไทย ซึ่ง ADB ได้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการในการพัฒนาตลาดทุนไทย และยินดีให้การสนับสนุนและจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งกระทรวงการคลังจะนำระหว่างนำเสนอร่างแผนแม่บทการพัฒนาตลาดทุนไทยเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ด้าน JBIC ก็จะให้การสนับสนุนการลงทุนในไทยโดยเฉพาะ SMEs ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น นอกจากนี้ จะสนับสนุนทางการเงินในด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ด้านพลังงาน และสนใจลงทุนในรูปแบบ PPP ด้านการขนส่งระบบรางของไทย
ข่าวในประเทศ "ดุสิต นนทะนาคร" ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ก็เปิดเผยว่า แนวโน้มการสั่งซื้อสินค้าของไทย ในสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ขณะนี้มีสัญญาณที่ดีขึ้น หลังมีการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่า ไตรมาส 4 เศรษฐกิจของไทย จะขยายตัวเป็นบวก และผลักดันให้ในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีหน้า ฟื้นตัวขึ้น แต่เศรษฐกิจไทย คงไม่เติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด แม้ว่าเงินบาทจะเป็นปัญหาสำหรับการส่งออก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันหากยังแข็งค่าต่อเนื่อง
ในมุมมองของผม "ธณพงศ์ มีทอง" ข่าวร้ายๆ ที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้น เช่น การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ก็ไม่มีประเด็นความรุนแรง บรรดาแกนนำต่างต้องการชุมนุมอย่างสงบ และหาทางป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าจะมีข่าวลือถึงความรุนแรงต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อดูการจัดกำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ เชื่อว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่จะต้องไม่ลืมว่า ตามธรรมชาติของนักการเมืองอาชีพ เขาจะไม่คิดอะไรที่เป็นการทำร้ายประชาชน แม้เหตุการณ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จะชี้ให้เห็นถึงความรุนแรง เราก็เห็นว่า แรงขายหุ้นก็ไม่ได้รุนแรงเช่นในปัจจุบัน เพราะเขาเชื่อว่า เหตุการณ์ดั้งกล่าวสามารถจัดการได้
วันนี้ เหตุการณ์ทางการเมือง เชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดความรุนแรง และเรื่องมือที่สาม ที่จะเข้ามาก่อกวนเพื่อให้เกิดความรุนแรง หรือแม้กระทั่งกลุ่มผู้ก่อการร้ายของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่คาดว่าจะเข้ามาสร้างความวุ่นวาย ภาครัฐได้รับทราบ และเตรียมการหาทางแก้ไขไว้แล้ว
บอกตามตรง ว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยยามนี้ รอข่าวจริงๆ ที่เป็นสาเหตุของการขายของต่างชาติก่อนดีกว่า สำหรับคนที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้น ก็รอให้แรงขายนิ่งๆ ก่อน ส่วนคนที่ขาดทุน หากยอมรับผลขาดทุนได้ หรือตามที่เคยตั้งไว้ว่า จะตัดขายที่กี่เปอร์เซ็น เช่น 10, 20 หรือ 30% นอกเหนือกว่านั้น หากเป็นหุ้นพื้นฐานดีๆ ตามความเห็นส่วนตัวของผม ผมจะถือ เพราะนอกจากเงินปันผล ทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นมาในระดับราคาที่ซื้อได้ ตามการเติบโตของผลประกอบการที่คาดว่าจะออกมาดี เช่น กลุ่มแบงก์
ตามความเห็นของผู้จัดการกองทุน เช่น "สาห์รัช ชัฎสุวรรณ" ผอ.ฝ่ายจัดการลงทุนธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ แนะนำว่าให้รอดูจนแรงขายของนักลงทุนต่างชาตินิ่งก่อน เพราะประเมินจากปัจจัยพื้นฐาน ในแง่ที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และกระแสเงินลงทุนที่ยังมีแนวโน้มไหลออกสหรัฐฯ เข้ามาในตลาดเอเซีย ตลาดหุ้นไทยยังน่าจะได้รับผลดีจากกระแสเงินไหลเข้าต่อไป
"สุพรรณ เศษธะพานิช" ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการลงทุน บลจ.ยูไนเต็ด ยังไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะต้องติดตามการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร และตามปกติ การเข้าออกของต่างชาติในตลาดหุ้น จะใช้เวลานานอย่างนักลงทุนรายย่อย และที่ผ่านมาถือว่าพวกเขาได้กำไรพอสมควรแล้ว และมองว่าการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติรอบนี้ อาจจะยังดำเนินต่อไปอีก อีกทั้งจะต้องใช้เวลากว่าที่จะกลับมาซื้ออย่างต่อเนื่องอีกครั้ง นักลงทุนในประเทศก็ควรจะชะลอการซื้อด้วยเช่นกัน ซึ่งภาพรวมๆ จากปัจจัยพื้นฐานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก
ในมุมมองของผม "ธณพงศ์ มีทอง" ยังรอข่าวที่ชัดเจน และมีน้ำหนักมากกว่านี้ จึงอยากให้ทุกคนชะลอการซื้อเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลง ไม่น่าจะมาจากปัจจัยทางการเมือง หรือคดีต่างๆ ของมาบตพุด เพราะแรงขายส่วนมากยังอยู่ในแบงก์ พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ การหลุด 700 จุด บวกกับค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนตัว น่าจะมีอะไรซ่อนเร้นพอสมควร จึงอยากให้นักลงทุนติดตามข่าวความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
ธณพงศ์ มีทอง
|
Comments