Error
มองหุ้นประจำสัปดาห์แบบ ธณพงศ์ มีทอง
Print
Monday, 19 October 2009 10:31

"ธณพงศ์ มีทอง" มองหุ้นไทยในมุมข่าวสัปดาห์นี้ (19-22 ตุลาคม) ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยอะไรที่จะบ่งชี้ว่าดัชนีจะปรับตัวลดลง จะมีก็แค่การขายเพื่อทำกำไรเท่านั้น ทุกอย่างน่าจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ และทำให้ SET Index มีโอกาสกลับไปที่ทดสอบ 750 จุดอีกครั้ง ที่สำคัญคือหุ้นนำตลาดอยู่ในกลุ่มปิโตรเลี่ยม และสินค้าโภคภัณฑ์ ด้วยเหตุผลคือ ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า (ส่งมอบเดือน พ.ย. 2552) NYMEX ยังคงปรับตัวขึ้นโดยวันศุกร์ที่ผ่านมา ปิดที่ 78.67 เหรียญฯต่อบาเรลล์ เป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากจุดต่ำสุดที่ 65 เหรียญฯ เมื่อปลายเดือน ก.ย.สะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งเริ่มเข้าฤดูหนาว ที่จะมีความต้องการใช้น้ำมันมากกว่าปกติในการสร้างความอบอุ่น
            ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสัปดาห์นี้ (Housing Starts , Existing Home Sales) จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจับตา เพราะจะเป็นอีกหนึ่งที่บ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจ แต่น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีมากกว่า ดัชนี MSCI Emerging Market Index สูงขึ้น 2.0% แต่ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหลักๆ ของเอเซีย กลับมาเป็น net buy ค่อนข้างมาก ก็ถือว่าเป็นมุมมองที่ดี

หุ้นพลังงาน PTT-PTTEP-TOP-PTTAR
            ประเด็นของกลุ่มพลังงงาน ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง จึงมองหุ้น PTT และ PTTEP ที่ผลประกอบการน่าจะเปลี่ยนแปลงตามการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ดจากการปรับราคา รวมทั้งการหาแหล่งผลิตน้ำมันใหม่ๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งคาดการณ์กันว่าผลประกอบการทั้งสองบริษัทน่าจะออกมาดี และหุ้นที่โดดเด่นรองลงมาในกลุ่ม ยังยกให้ TOP และ PTTAR ในฐานะหุ้นโรงกลั่นพิมพ์นิยมของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

หุ้นเรือ TTA เด่นยาว
            จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ยังมองหุ้น TTA หลังจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีค่าระวางเรือ น่าจะกลับมายืนเหนือ 3,000 จุด อีกครั้ง ประกอบกับ TTA เตรียมทำคำเสนอซื้อ (Tender Offer) หุ้น UMS ที่จะซื้อจากผู้ถือหุ้นใหญ่ 48.5% รวมแล้ว 4.4 พันล้านบาท ในราคาหุ้นละ 23 บาท  และ UMS-W1 ที่เหลือทั้งหมดอีกหน่วยละ 14.66 บาท ซึ่งไม่กระทบต่อตัวบริษัทเนื่องจากมีเงินสดในมือกว่า 8 พันล้านบาท ทำให้ไม่ต้องเพิ่มทุน แต่ในมุมของธุรกิจจะทำให้ TTA สามารถต่อยอดธุรกิจการจัดจำหน่ายถ่านหินในประเทศไทย จากธุรกิจเหมืองแร่ถ่านหินของบริษัทเมอร์ตันในฟิลลิปปินส์ ซึ่ง UMS ถือเป็นผู้นำตลาดในเมืองไทยด้วยเช่นกัน ที่สำคัญคือ หากแล้วการทำทุกอย่างเสร็จสิ้นงบการเงินของ TTA จะมีรายได้กำไรจาก UMS เข้ามารวมในงบการเงินทำให้กำไรสุทธิปี 2553 เพิ่มขึ้น มองแล้ว TTA วันนี้ยังเป็นหุ้นที่น่าจะถือยาวมากกว่าเล่นเก็งกำไรสั้นๆ (หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่รุนแรง) รวมทั้งปัจจัยนี้ทำให้ TTA โดดเด่นกว่า PLS เป็นหุ้นพิมพ์นิยมที่ยังโดดเด่นอีกยาว
           

หุ้นแบงก์  TCAP-KBANK-TMB
            กลุ่มแบงก์ไตรมาส 3 คาดการณ์ว่า ผลประกอบการน่าจะออกมาดี ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้ ล่าสุดที่ประกาศออกมาคือ KBANK มีกำไรสุทธิ 3.72 พันล้านบาท แม้จะทรงตัว แต่ไตรมาส 4 เป็นช่วงการใช้จ่ายเงินจากโครงการไทยเข้มแข็งผ่านแบงก์ใหญ่ เชื่อว่าภาพรวมๆ จะดูดีเช่นเดิม ส่วน TMB กำไรจากการดำเนินงานปกติเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กัน ความผิดหวัง สมหวังก็แตกต่างกันแต่ละค่าย แต่ในมุมของแบงก์ที่กำลังอยู่ระหว่างปรับโครงสร้าง ปรับปรุงองค์กร ให้ทีมงานใหม่ผสานกับทีมงานเดิมกำลังเดินหน้า คาดว่ากระแสข่าวต่างๆ ในช่วงนี้ น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนหุ้น TMB ในทางบวกมากกว่าทางลบ
            สุดท้ายคือ TCAP นอกจากพีอีต่ำ ผลประกอบการดี มีธุรกิจทางการเงินที่หลากหลาย ในแง่ของแบงก์ ซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อรถยนต์รายใหญ่ของประเทศ และไตรมาส 4 เป็นฤดูการขายของรถยนต์ ล่าสุด "วัลลภ เตียศิริ" ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ออกมาคาดการณ์ว่ายอดการผลิตรถยนต์ปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านคัน เพราะเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว คำสั่งซื้อเริ่มมีเข้ามาต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นยอดขายรถยนต์ในประเทศเริ่มขยายตัวดีขึ้น คาดว่าทั้งปีนี้ยอดขายอยู่ที่ 500,000-520,000 คัน ถือว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ และในปีหน้าและปีต่อๆ เมื่อค่ายรถยนต์ที่ขออนุมัติโครงการอีโคคาร์เริ่มผลิตรถออกสู่ตลาดเชื่อว่าในส่วนนี้จะกระตุ้นตลาดให้มีอัตราการเติบโตได้อีกแน่นอน
            ท้ายที่สุดของกลุ่มแบงก์ ยังต้องระมัดระวังจากแรงขายทำกำไรของต่างชาติด้วยเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเป็นกลุ่มที่ซื้อหุ้นแบงก์มากที่สุด แม้สัปดาห์ที่แล้วจะมีแรงขายออกมาบ้างเช่น BBL, KBANK, BAY, TCAP และ SCIB

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เด่น SIRI, PF, SPALI, SC, NOBLE
            สัปดาห์นี้อยากให้มองบริษัทขนาดกลาง ที่ราคายังน่าสนใจ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ มอง SIRI, PF, SPALI, SC, NOBLE ที่ค่าพีอีต่ำปีนี้อยู่ที่ 5.3 เท่า และปีหน้าอยู่ที่ 4.7 เท่า อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดึงดูดใจของกลุ่มพัฒนาอสังหาฯ ขนาดกลางที่เฉลี่ย 9.3% ขณะที่รายใหญ่ LH, PS, QH, AP, LPN อยู่ที่ 12.7 เท่าในปี 52 และ 11.7 เท่าในปี 53 อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 4.4%
            แนวโน้มการรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/52 : กลุ่มอสังหาขนาดกลางเติบโต 13% QoQ และ 16% YoY เทียบกับหุ้นพัฒนาอสังหาขนาดใหญ่ที่เติบโตเพียง 5% QoQ และ 9% YoY ขณะที่แนวโน้มการรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังของกลุ่มอสังหาขนาดกลางเติบโต 48% เทียบกับหุ้นพัฒนาอสังหาขนาดใหญ่ที่ 34%
            แนวโน้มกำไรขั้นต้นของกลุ่มอสังหายังแข็งแกร่งเมือเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่ SG&A ของกลุ่มมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพราะการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ที่ลดลง เนื่องจากยอดขายเริ่มกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ ซึ่งทำให้แนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มอสังหาขนาดกลางเติบโตมากกว่า ขนาดใหญ่เพราะยอดรับรู้ที่เติบโตมากกว่า โดยเราคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3/52 ของกลุ่มอสังหาขนาดกลางเติบโต 5% QoQ และ 20% YoY เทียบกับหุ้นพัฒนาอสังหาขนาดใหญ่ที่เติบโตเพียง 2% QoQ และ 11% YoY

กลุ่มท่องเที่ยว ชอบ MINT
            กลุ่มนี้มองจากมุมของข่าวคือ ภาพรวมธุรกิจโรงแรมไทยในช่วงนี้มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยยอดจองห้องพักโรงแรมอยู่ที่ประมาณ 70% เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าที่อยู่ราว 40% เท่านั้น แม้จะยังไม่ใกล้เคียงกับช่วงที่ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งมียอดจองห้องพักอยู่ที่ประมาณ 90-95% ก็ตาม แต่ก็ถือว่าดีขึ้น ซึ่งพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวมีอัตราการจองเข้าพักโรงแรมดีขึ้นได้แก่ ในแถบพื้นที่กรุงเทพฯ โรงแรมในภาคใต้ โดยเฉพาะ ภูเก็ตและสมุย ซึ่งกำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งโรงแรมในแถบภาคเหนืออีกด้วย
            นอกจากนี้ ยังได้คาดการณ์ว่า โรงแรมในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ จะได้รับประโยชน์จากโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (แอร์พอร์ตลิงก์) อย่างแน่นอน เนื่องจากการเดินทางในลักษณะดังกล่าวราคาไม่สูงนัก ประกอบกับเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางเข้าเมืองได้มากขึ้น จึงเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มจำนวนเข้ามาพักโรงแรมในพื้นที่กรุงเทพฯได้ รวมทั้งเชื่อว่า มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาล หากประสบผลสำเร็จ สถานการณ์บ้านเมืองมีความสงบ จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับเข้ามาท่องเที่ยวภายในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน ในกลุ่มนี้ หุ้นเด่นนักวิเคราะห์มอง  MINT-THAI-CENTEL และ ERAWAN
            ในมุมมองโดดเด่นของ "ธณพงศ์ มีทอง" ในมุมข่าวชอบ MINT และ THAI ตามความเห็นของ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ได้มองกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม มุมมองการลงทุน Positive หุ้นที่เป็น Top Picks ในกลุ่มนี้คือ MINT และ THAI ธุรกิจที่เกียวกับท่องเที่ยวจะฟื้นตัวชัดเจนในไตมาส 4 ซึ่งได้ส่งสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และสายการบินมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 52 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและฤดูกาลที่เป็น Low season กำลังจะจบ เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล High season ต่อไปในไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 1 ปี 53
            ในแง่ตัวหุ้นมอง MINT (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 15.60 บาท) ด้วยเหตุผลคือ บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจได้ดี และไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจมาก (defensive) เนื่องจากมีธุรกิจอาหารเป็นสัดส่วนที่สูง และธุรกิจนี้มีการขยายตัวดีต่อเนื่องตามจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ (ประมาณ 100 สาขาต่อปี) คาดว่ากำไรสุทธิปี 53 จะขยายตัวก้าวกระโดด 34% หลังหดตัว 12% ในปี 52 โดยหลักมาจากอัตราการเข้าพักและราคาเฉลี่ยของธุรกิจโรงแรมสูงขึ้น และรายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้น

ธณพงศ์ มีทอง

--------------------------------------

Written by :
Nike_mand
 

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment