เอแบคโพลล์ชี้ประชาชนกังวลค่าบาทผันผวน |
![]() |
Thursday, 04 November 2010 12:15 | |||
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ร่วมกับ นายวรภัทร ปราณีประชาชน นักศึกษา ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อ กรณีค่าเงินบาท กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,823 ตัวอย่าง โดยดำเนินการสำรวจในระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา ประชาชนที่ถูกศึกษาร้อยละ 56.0 ติดตามข่าวการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท มีร้อยละ 44.0 ไม่ได้ติดตาม แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.3 จำไม่ได้ว่า ในอดีตมีนักการเมืองและกลุ่มนายทุนที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ในขณะที่เพียงร้อยละ 11.7 ที่จำได้ อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.6 กังวลว่าการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.4 กังวลว่าจะกระทบต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.5 เห็นว่า รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท แต่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.3 มองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยควรเป็นอิสระปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ ครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 51.5 ไม่ไว้วางใจทั้งสองกลุ่มคือ นักการเมืองในรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในขณะที่ร้อยละ 22.4 ไว้ใจทั้งสองกลุ่ม ร้อยละ 16.9 ไว้ใจเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และร้อยละ 9.2 ไว้วางใจนักการเมืองในรัฐบาล ตามลำดับ นายวรภัทร ปราณีประชาชน นักศึกษาสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ กล่าวว่า ประชาชนในตัวอย่างส่วนมากต้องการเห็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลในการแก้ไขปัญาหาค่าเงินบาทที่แข็ง ซึ่งในจุดนี้สังคมก็เริ่มเห็นการประสานงานในเชิงนโยบายและบทบาทของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นแล้ว เช่น การประสานงานด้านมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินบาทระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไปในแนวทางเดียวกัน และการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีวาระการแก้ไขปัญหาความผันผวนของค่าเงินในภูมิภาคเป็นประเด็นสำคัญ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาสถานการณ์ค่าเงินในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าปัญหาค่าเงินนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งหากจะเรียกอย่างเหมาะสมอาจต้องเปลี่ยนนิยามจากปัญหาค่าเงินบาทเป็นปัญหาค่าเงินของภูมิภาค หรือปัญหาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนเสียมากกว่า ฉะนั้น เห็นว่าสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีบทบาทที่สำคัญต่อการสร้างความเข้าใจกับสาธารณชน โดยผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงบางประการคือ เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งประชาชนส่วนใหญ่จำไม่ได้ถึงปัญหาสำคัญของประเทศที่เคยมีกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มได้ประโยชน์แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศในเวลานั้นอยู่ในสภาวะที่เดือดร้อนและยากลำบาก สิ่งสำคัญที่น่าจะพิจารณาคือ ควรนำกรณีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ให้กับสาธารณชนระลึกถึงเพื่อจะได้สนใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมให้เท่าทันพฤติกรรมกอบโกยผลประโยชน์ของคนเฉพาะกลุ่ม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทในเวลานี้ ยังไม่มีข้อมูลปรากฏให้เห็นต่อสาธารณชนได้ชัดเจนว่า คนเฉพาะกลุ่มใดกำลังมุ่งกอบโกยผลประโยชน์โดยปล่อยให้ประเทศชาติเสียหาย จึงเสนอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวทางเชิงรุกต่อกรณีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และรัฐบาลทำหน้าที่เพียงเป็นผู้สนับสนุน อย่างน้อยสามประการ คือ ประการแรก การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณชนในเรื่องการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทผ่านสื่อมวลชนและสร้างเครือข่ายวิชาการกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคของประเทศ ทำการประเมินความรู้และความสนใจติดตามสถานการณ์ของประชาชนเป็นระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งต่อเศรษฐกิจของประเทศและภาพลักษณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเนื่องมาจากประชาชนมีความรู้ไม่เพียงพอ ประการที่สอง การใช้แนวทางเชิงรุกเพื่อบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในการปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะโดยทั่วไปการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทอย่างรวดเร็วมักกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศไม่ใช่เฉพาะธุรกิจระหว่างประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ประเด็นคือ กลุ่มคนที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศมักจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงค่าเงินมากกว่าประชาชนทั่วไป จึงอาจทำให้สาธารณชนขาดพลังในการติดตามสถานการณ์ได้ แนวทางสำคัญคือต้องหาทางกระตุ้นความสนใจติดตามของสาธารณชนคนไทยทั่วไปให้ติดตามข่าวการเปลี่ยนแปลงค่าเงินอย่างใกล้ชิด โดยไม่ลืมไปว่ากลุ่มผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มอาจกำลังหาจังหวะกอบโกยโดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม ประการที่สาม ธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลน่าจะมีแนวทางร่วมกันเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบทั่วไปว่า ได้ใช้จังหวะเวลานี้ออกมาตรการรองรับในการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาระยะสั้นและระยะยาวไว้อย่างไรในภาษาที่เข้าใจง่ายสำหรับประชาชนคนทั่วไปสามารถเรียนรู้ได้ เพื่อหนุนเสริมให้คนในสังคมมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 47.4 เป็นชาย ร้อยละ 52.6 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 9.2 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 21.8 อายุระหว่าง 20 – 29 ปี ร้อยละ 19.6 อายุระหว่าง 30 – 39 ปี ร้อยละ 20.7 อายุระหว่าง 40 – 49 ปี และ ร้อยละ 28.7 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 64.9 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 27.8 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และ ร้อยละ 7.3 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 41.8 ค้าขายอิสระ/ ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 22.3 รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป เกษตรกร ร้อยละ 12.9 พนักงานเอกชน ร้อยละ 2.7 ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 10.0 นักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 8.9 แม่บ้าน เกษียณอายุ และร้อยละ 1.4 ว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ
|
Comments