|
ไอซีที เร่งผลักดันการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์สู่สากล
|
|
|
Monday, 24 May 2010 11:38 |
|
นางสาวลัดดา แจ้งเกษมสุข ผู้อำนวยการสำนักธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า หลัง จากกระทรวงฯ ได้เตรียมการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาคำขอจัดตั้งโดยสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการธุรก รรมฯ ดังกล่าว จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาระบบการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของ ประเทศไทยให้มีความเข้มแข็ง ได้มาตรฐาน รวมทั้งมีความมั่นคงปลอดภัยในการทำ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งของภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าในการทำ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศเพิ่มสูงขึ้น “ในอนาคตอันใกล้นี้ การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์จะไม่ได้จำกัดอยู่ เฉพาะตลาดภายในประเทศเท่านั้น แต่จะขยายไปในตลาดระดับอาเซียน เนื่องจากมี ข้อตกลงการเปิดตลาดการค้าเสรีในกลุ่มประเทศอาเซียน หรืออาจจะขยายไปถึง ตลาดในภูมิภาคอื่นๆ โดยจะครอบคลุมในทุกภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เพราะผู้ ประกอบการทุกภาคอุตสาหกรรมต่างเล็งเห็นช่องทางที่จะเข้ามาทำธุรกิจแบบ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจที่มีความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ของไทยขยายตัวไปสู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้น ก็เพราะประเทศไทยมี ความได้เปรียบทางด้านโลจิสติกส์ โดยโครงสร้างพื้นฐานของไทยนั้นมีศักยภาพทั้ง ทางด้านการขนส่ง การพัฒนาศักยภาพทางด้านการเงิน กำลังคนทางด้านไอซีทีและ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วย” นางสาวลัดดา กล่าว สำหรับตลาดในประเทศนั้น การสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคเป็นสิ่ง สำคัญ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่นิยม รวมถึงไม่มั่นใจในการซื้อสินค้าทางอิน เทอร์เน็ต ขณะเดียวกันก็มีปัญหาที่ผู้ซื้อใช้ข้อมูลปลอมในการสั่งซื้อสินค้า หรือจอง แล้วไม่ชำระเงินด้วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้า ใจในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งมีการออกกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยว ข้องที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคุ้มครองทั้งผู้ประกอบการและผู้ บริโภคให้ได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าตลาดเพิ่มมาก ขึ้นได้ “ภาครัฐได้ให้การส่งเสริม สนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งการดำเนินนโยบาย มาตรการ กลไก ต่างๆ ให้ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในการนำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มาใช้ในการทำธุรกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีให้รองรับการค้าในเครือ ข่ายอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การจัดตั้งระบบ National Root CA การวางมาตรฐานด้านการ รักษาความมั่นคงปลอดภัย พร้อมกันนี้ยังมีการเร่งพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยว ข้อง เช่น กฎหมายลำดับรองที่ออกภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ การ พัฒนาบุคลากรอย่างมีระบบและต่อเนื่อง โดยพัฒนากำลังคนและฝีมือแรงงานใน สาขาต่างๆ ให้ตรงกับตลาดแรงงานและความต้องการ” นางสาวลัดดา กล่าว นอกจากนั้นภาครัฐยังจะส่งเสริมให้มีการสร้างความเข้าใจ โดยเร่งรณรงค์ให้ องค์กรธุรกิจ ประชาชน และหน่วยงานของรัฐเข้าใจและเห็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นจาก การเปิดเสรีในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งจะช่วยทำให้การทำธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศในด้านการเงินหรือการซื้อขายสินค้าเพิ่มมากขึ้นได้ รวมทั้งยังมีการออกมาตรการกำกับดูแล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและผู้ ประกอบการในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนมีการสนับสนุนการวิจัย พัฒนานวัตกรรมรวมถึงธุรกิจใหม่ๆ และการสร้างฐานข้อมูลองค์ความรู้ด้านธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์เพื่อประโยชน์ในการสั่งสมความรู้ด้านต่างๆ “แนวทางการดำเนินการต่างๆ เหล่านี้ต้องใช้เวลา งบประมาณ และบุคลากร ในการผลักดันและดำเนินการ รวมทั้งต้องได้รับความร่วมมือและทำงานร่วมกันระหว่าง ภาครัฐและผู้ประกอบการ เพื่อเป้าหมายที่จะให้มีระบบ e-Commerce ของไทยที่เข้ม แข็ง สามารถแข่งขันในเวทีระดับประเทศได้” นางสาวลัดดา กล่าว
|
Comments