Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home Daily Research Daily View - บล.กสิกรไทย
Daily View - บล.กสิกรไทย PDF Print E-mail
Tuesday, 26 June 2018 09:18

ปัจจัยลบจากต่างประเทศยังคงเป็นตัวกดดันหลัก ขณะที่การไหลออกของกระแสเงินยังเป็นความเสี่ยงต่อ Emerging Market ส่งผลให้ SET Index มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง กลยุทธ์การลงทุนหลังจากที่ดัชนีลงต่ำกว่า 1,650 จุด Forward PER 14 -14.3 1,577 - 1,610 จุดเป็นระดับที่ควรซื้อเพื่อรอการฟื้นตัว

ตลาดหุ้นสหรัฐตกใจต่อแผนจำกัดการลงทุน อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ยังไม่มีความชัดเจน โดยยังต้องเฝ้าติดตามท่าทีของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ อีกครั้ง : ประเด็นลบยังมีเข้ามาไม่หยุด วานนี้ รมว.คลัง สหรัฐได้ออกมาทวิตข้อความ สหรัฐตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลกที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสินค้าเทคโนโลยีของสหรัฐไม่ใช่เฉพาะจีน

ตลาดค่อนข้างตกใจต่อประเด็นลบข้างต้น เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องการค้าแล้ว คราวนี้ยังเป็นเรื่องการลงทุน อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาด้านการค้าของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ คุณ ปีเตอร์ นาวาโล ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC หลังเกิดกระแสข่าวเรื่องจำกัดการลงทุนว่า "ไม่มีแผนที่จะจำกัดการลงทุนสำหรับประเทศใดๆ" โดยยืนยันว่าตลาดกำลังมีปฎิกริยาต่อเรื่องเหล่านี้มากเกินไป

การออกมาให้สัมภาษณ์ของคุณ นาวาโล อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐในคืนนี้ผ่อนคลายลงระดับหนึ่ง กระนั้นยังต้องติดตามการออกมาแสดงความคิดเห็นของฝั่งจีน ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อตลาดในภูมิภาควันนี้

แม้สภาพคล่องของโลกยังอยู่ในระดับสูง แต่การลดขนาดงบดุลของ Fed กระทบโดยตรงต่อ Emerging Market: แม้สภาพคล่องของโลกยังคงอยู่ในระดับสูงจากการที่ธนาคารกลางยุโรป ECB และธนาคารกลางญี่ปุ่น BoJ ยังคงโปรแกรมการเข้าซื้อสินทรัพย์ ซึ่งทำให้ขนาดงบดุลรวม 3 ธนาคาร (Fed ECB และ BoJ) ณ สิ้นปี 2561 จะอยู่ที่ประมาณ 15.87 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ +5.6% YoY แต่การที่ธนาคารกลางสหรัฐ Fed ได้ลดขนาดงบดุลมาตั้งแต่ ต.ค.60 โดยเริ่มจาก 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน (แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล 6 พันล้านเหรียญต่อเดือนและ MBS 4 พันล้านเหรียญต่อเดือน) และจะลดเพิ่มอีกไตรมาสละ 1 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน ซึ่งทำให้ปัจจุบัน Fed กำลังลดขนาดงบดุลถึง 3 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน (รวมตั้งแต่ ต.ค.60 - มิ.ย.61 ลดงบดุลไปทั้งสิ้น 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) และไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้จะขยับขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน

ตั้งแต่ปี 2552-2558 การใช้ QE ของสหรัฐได้ส่งผลบวกโดยตรงต่อ Emerging Market ขณะที่ QE ของ ECB ส่วนใหญ่จะกระจุกแต่ในยุโรป ดังนั้นการลดขนาดงบดุลของ Fed จึงส่งผลลบทำให้กระแสเงินไหลออกจาก Emerging Market อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามในส่วนของ SET กระแสเงินได้ไหลออกไปตั้งแต่ปี 2556 กว่า 1.58 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศ Emerging Market อื่นในภูมิภาค (อินโดนีเซียไหลออก 4.78 พันล้านเหรียญ และฟิลิปปินส์ยังเป็นซื้อสุทธิ 7 ร้อยล้านเหรียญ) และทำให้ยอดสะสมตั้งต่ปี 2552 (Fed เริ่ม QE) ไหลออกจากไทยไปกว่า 9.70 พันล้านเหรียญ ส่วนอินโดนีเซียยังเป็นซื้อสุทธิ 3.65 พันล้านเหรียญ และฟิลิปปินส์ 6.23 พันล้านเหรียญ ดังนั้นผลกระทบจากการลดขนาดงบดุลของ Fed จึงน่าจะกระทบกับไทยน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ติดตามการเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศใน SET50 Futures และการเคลื่อนไหวของ Block trade ในสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส : ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส ปัจจัยที่ต้องติดตามคือการเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศใน SET50 Futures ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการทำ Rollover จากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมาเป็นระดับ 8.9 พันสัญญาต่อวัน เพิ่มขึ้น 160% จากเฉลี่ยเดือน มิ.ย.61 ที่น่าสนใจคือเป็นการเปิดสถานะ Long สุทธิ 4.7 พันสัญญา ทำให้ 5 วันที่ผ่านมามียอด Long สะสม 3.64 หมื่นสัญญาและตั้งแต่ต้นปีเหลือ Short สุทธิ 2.13 หมื่นสัญญา หากในอีก 3-4 วันข้างหน้าต่างชาติยัง Rollover ต่อ และภาพรวมเป็นสถานะ Long สุทธิ อาจตีความได้ว่ากำลังปิดสถานะ Short ที่เปิดค้างไว้ ซึ่งบ่งบอกว่าต่างชาติอาจเริ่มมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3

นอกจากการเคลื่อนไหวของต่างชาติแล้ว สิ่งที่ต้องติดตามอีกอย่างคือวงเงิน Block trade ล่าสุดทั้งระบบเหลือ 3.1 หมื่นล้านบาททำจุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือน โดยต้องระวังหุ้นที่ยังเหลือวงเงิน Block trade ในระดับสูงเกิน 500 ล้านบาทแต่กระจุกอยู่ใน Series M เกิน 30% เช่น STEC BLAND CBG TRUE หากตลาดเกิด Panic จากประเด็นลบต่างประเทศอีก นักลงทุนที่ถือครอง Block trade อยู่อาจถอดใจไม่ Rollover จะส่งผลทำให้เกิดแรงขายตัดขาดทุนในกลุ่มหุ้นดังกล่าวได้ ทั้งนี้ในส่วนของหุ้นที่มีวงเงิน Block trade สูงแต่ไปอยู่ใน Series U หรือ Z มากๆเช่น PTT CPALL MTC KBANK AOT SIRI IVL WHA ADVANC คาดว่าจะมีภูมิคุ้มกันรับมือกับความผันผวนได้ในระดับหนึ่ง

 

กลยุทธ์การลงทุน :

ยังคงกลยุทธ์รอซื้อเพื่อลุ้น Technical Rebound ในระดับแรกที่ที่ 1,610 จุด เลือก SPALI PTTEP CPALL เป็น Top Pick วันนี้ ส่วนระยะกลางถึงยาว สามารถรอซื้อเพิ่มอีกครั้งในยามที่ดัชนีย้อนลงต่ำกว่า 1,650 จุดให้เน้นไปที่กลุ่มหุ้น Monthly Pick ของ KS Research ที่ยังมี Upside สูง เช่น BBL KTB MTC ORI LH AP SPALI CPN CPALL BEAUTY BEM KCE PT IVL TISCO

 

Daily Picks

Daily Picks  Trading Target

PTTEP           145.00

SPALI            26.00

CPALL            82.00

 

Monthly pick

BBL CPN KTB CPALL MTC BEAUTY ORI BEM LH KCE AP PT SPALI IVL QH TISCO

 

KS Daily Portfolio

ตั้งจุดตัดขาดทุนให้ SC อื่นๆยังถือ KCE BBL

 

KS Daily Portfolio Top Pick

1. หุ้นที่อิงกับ Investment Cycle

BBL รายงานกำไรไตรมาส 1/2561 ที่ 9 พันลบ. (+8.4% YoY และ 6% QoQ) เป็นไปตามที่ตลาดและเราคาด ทั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียม กำไรจาการลงทุน และรายได้อื่นๆที่สูงกว่าคาด ผู้บริหารยังเป้าการเงินไว้ตามเดิม โดยการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่เลขหลักเดียว และเป้าเติบโตของสินเชื่อที่ 5-6% คาดว่าธุรกิจสินเชื่อจะเป็นแรงหนุนให้เกิดการขยายตัวในครึ่งปีหลัง

KCE เริ่มมีปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาทและการปรับลดลงของราคาทองแดง โดยคาดว่าปัญหาคอขวดในการผลิตจะคลี่คลายในช่วงที่เหลือของปี จากการทยอยติดตั้งเครื่องจักรใหม่เริ่มตั้งแต่เดือน เม.ย. ด้วยคำสั่งซื้อและ backlog ที่แข็งแกร่ง กอปรกับคาดการณ์ของเราที่ว่าเงินบาท/ดอลลาร์ฯ จะอ่อนค่าลงในปี 2562/63 เราจึงประเมินอัตราการเติบโตด้านกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2562-63 ที่ระดับ 38% ดังนั้น เราจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยมูลค่าเป้าหมาย 39.75 บาท

2. หุ้นที่อิงกับการขยายตัวของอุปโภคบริโภคในประเทศ

SC ตั้งจุดตัดขาดทุนที่ 3.48 บาท บริษัทสรุปยอดขาย 5 เดือนแรกที่ราว 5.9 พันลบ. แม้จะคิดเป็นเพียง 34.7% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 1.7 หมื่นลบ. แต่ว่าเป็นยอดที่ดีกว่าคาด เมื่อรวมกับการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์โครงการศาลาแดงวัน และฐานการเติบโตที่ไม่สูงมากนัก ทำให้เราคาดกำไรไตรมาส 2/2561 จะเติบโตเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ และทิศทางดังกล่าวจะต่อเนื่องไปในไตรมาส 3 และ 4 ทั้งนี้การที่การดำเนินงานยังเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่ราคาหุ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมากลับลดลง 8.4% ซึ่งเปิด upside จากราคาปิดล่าสุดสู่ราคาเป้าหมายกลางปี 2562 ของเราที่ 4.80 บาทเป็น 37.14% และทำให้ราคาปิดล่าสุดซื้อขายบน PER ปี 2561 เพียง 7.0x และ PBV ที่ 0.89x เราจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"

 

Analyst (s)

 

ประกิต สิริวัฒนเกตุ

This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it

 

KS Research Team

 

Kasikorn Securities PCL

 

โดย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด ประจำวันที่ 26 มิ.ย. 2561

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday1095
mod_vvisit_counterAll days1095

We have: 1094 guests online
Your IP: 216.73.216.145
Mozilla 5.0, 
Today: Jul 06, 2025

4271704