Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home Economic View การใช้อิทธิพลในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ by TDRI
การใช้อิทธิพลในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ by TDRI PDF Print E-mail
Friday, 11 December 2009 17:13

ผลตอบแทนส่วนเกินจากทรัพยากรของประเทศ :การใช้อิทธิพลในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและป่าไม้

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดเผยผลการศึกษาเรื่องการใช้อิทธิพลในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและป่าไม้  ทำการศึกษาโดย ดร. อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา และคณะโดย เป็นการสำรวจกลไกของรัฐด้านการบริหารจัดการที่ดินและป่าไม้ที่นำไปสู่ความไม่เป็นธรรมในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ผู้มีอิทธิพลสามารถใช้กลไกของรัฐในการแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในขณะที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถใช้กลไกดังกล่าวได้  ทำการศึกษาสามกรณีศึกษาตัวอย่าง ได้แก่ กรณีโครงการจัดที่ดินของรัฐด้วยกลไกการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ นค.3 ซึ่งสามารถนำไปขอเอกสารสิทธิ์  กรณีการครอบครองมรดกของชาติด้วยกลไกการใช้แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (สค.1) และ กรณีการลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การลงทุนสร้างสนามบิน เป็นต้น

กรณีการจัดที่ดินของรัฐด้วยการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ นค.3 นั้น จากการศึกษาพบว่า ผลการดำเนินงานของโครงการนิคมสร้างตนเองที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดที่ดินให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้กลายเป็นกลไกให้นักลงทุนในภาคเอกชนสามารถเข้าครอบครองทรัพยากรที่ดินของรัฐเพื่อการลงทุนได้ จากกรณีตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า กลไกของการออก นค.3 นั้น ประชาชนผู้เป็นเจ้าของ นค.3 เดิม ได้นำ นค.3 ที่รัฐจัดสรรให้ไปออกเป็นเอกสารสิทธิ์ เช่น โฉนด หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส.3) ซึ่งได้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือไปยังนักลงทุนรายอื่นจนสภาพนิคมสร้างตนเองเดิมได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงการลงทุนของภาคเอกชน เช่น หมู่บ้านจัดสรร หรือสนามกอล์ฟ เป็นต้น นอกจากนั้น ถึงแม้สภาพความเป็นนิคมสร้างตนเองได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ยังมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการนิคมฯนั้นๆอยู่ เช่น งบประมาณในการดูแลถนน เป็นต้น ซึ่งในที่สุดแล้วก็เท่ากับเป็นการนำงบประมาณของรัฐมาใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าของที่ดินในปัจจุบันนั่นเอง ทั้งๆ ที่มีการเปลี่ยนมือการครอบครองที่ดินในโครงการไปเกือบหมดแล้ว

ในส่วนของกลไกการใช้แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (สค.1) เพื่อนำไปออกเอกสารสิทธิ์ เช่น โฉนด หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส.3) นั้น จากการศึกษาพบว่าได้มีการนำเอกสาร สค.1 ไปใช้ในรูปแบบที่มิชอบ เช่น การเพิ่มขนาดของพื้นที่ การนำ สค.1 ของพื้นที่หนึ่งไปออกเอกสารสิทธิ์ในอีกพื้นที่หนึ่ง หรือการนำ สค.1 ที่เคยถูกนำมาใช้ในการออกเอกสารสิทธิ์แล้วมาใช้ออกเอกสารสิทธิ์ซ้ำอีก การใช้ช่องว่างของกลไกของรัฐเช่นนี้ได้ทำให้ที่ดินของรัฐจำนวนมากที่ควรสงวนไว้เพื่อส่วนรวมตกไปเป็นทรัพย์สินของผู้มีอิทธิพล เช่น การที่ผู้มีอิทธิพลสามารถเข้าครอบครองพื้นที่ๆ ควรอนุรักษ์ให้เป็นมรดกของชาติ เช่น พื้นที่เกาะ ภูเขา หรือพื้นที่ๆ มีความลาดชันสูง เป็นต้น ดังนั้น ถึงแม้พื้นที่ดังกล่าวอาจสามารถแสดงการได้มาซึ่งเอกสารสิทธิ์อย่างถูกต้อง แต่การนำมรดกของชาติที่ควรสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมมาออกเอกสารสิทธิ์ให้กับผู้มีอิทธิพลโดยอาศัยกลไกของ สค.1 จึงเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งในการถ่ายโอนทรัพยากรของประเทศสู่ผู้มีอิทธิพล  ปํญหาการครอบครองที่ดินกรณีนี้อยู่ในลักษณะ “บวม” คือ มีการขยายพื้นที่เช่น จาก 5 ไร่ เป็น 50 ไร่  “บิน” คือ ย้ายพื้นที่ครอบครองไปยังพื้นที่ที่มีทำเลที่ดีกว่า เช่น บนภูเขา ชายหาด และ “บูด” คือ มีการใช้ ส.ค.1 เป็นหลักฐานในการออกเอกสารสิทธิซ้ำหลายครั้ง

สำหรับกรณีการดำเนินนโยบายการลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการรถไฟฟ้า หรือการตัดถนน เป็นต้น ได้เป็นกลไกอย่างหนึ่งในการถ่ายโอนมูลค่าทางเศรษฐกิจจากภาครัฐ (งบประมาณการลงทุน) มาสู่มูลค่าที่ดินในบริเวณใกล้เคียง และท้ายสุดมาสู่ผู้มีอิทธิพลที่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของแผนการลงทุนของภาครัฐได้ก่อนจึงสามารถนำข้อมูลแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าวมาใช้ในการครอบครองที่ดินในราคาที่ต่ำเพื่อทำกำไรจากมูลค่าเพิ่มที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งในกรณีการลงทุนขนาดใหญ่เช่นนี้ ภาครัฐควรมีกลไกในการถ่ายโอนส่วนเกินทางเศรษฐกิจที่เจ้าของที่ดินดังกล่าวได้ไปกลับสู่ภาครัฐเพื่อเป็นการชดเชยงบประมาณการลงทุนที่รัฐได้จัดสรรไปให้ กลไกการถ่ายโอนส่วนเกินทางเศรษฐกิจดังกล่าว ได้แก่ การนำระบบภาษี (Capital gains tax) จากการซื้อขายที่ดินมาใช้ เป็นต้น

จากผลการศึกษากรณีตัวอย่างทั้งสามกรณีศึกษา คณะผู้วิจัยจึงได้จัดทำข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันมิให้ผู้มีอิทธิพลสามารถใช้กลไกของรัฐเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว เช่น การปรับรูปแบบการจัดที่ดินของรัฐเพื่อประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาเป็นในรูปของธนาคารที่ดิน การจัดทำฐานข้อมูลผู้ที่เข้ารับสิทธิการจัดที่ดินของรัฐเพื่อป้องกันการใช้สิทธิซ้ำซ้อน การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการที่ดิน การมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐ และการพัฒนาเครื่องมือทางภาษีเพื่อความเป็นธรรมในการบริหารจัดการที่ดิน เช่น ภาษีจากกำไรการขายทรัพย์สิน (Capital gains tax) หรือภาษีจากมูลค่าที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น (Betterment tax) เป็นต้น


Written by :
พิราบขาว
 

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday1033
mod_vvisit_counterAll days1033

We have: 1032 guests online
Your IP: 216.73.216.169
Mozilla 5.0, 
Today: Aug 28, 2025

4132200