สินเชื่อเดือน ก.พ.53 บ่งชี้สัญญาณฟื้นตัว ...BY ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
|
|
Wednesday, 24 March 2010 15:42 |
สินเชื่อเดือน ก.พ.53 บ่งชี้สัญญาณฟื้นตัว ... แต่ยังคงต้องจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในช่วงที่เหลือของปี
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน เรื่อง สินเชื่อเดือน ก.พ.53 บ่งชี้สัญญาณฟื้นตัว ... แต่ยังคงต้องจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในช่วงที่เหลือของปี โดยระบุว่า จากข้อมูลรายเดือนล่าสุดของธนาคารพาณิชย์ไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 สะท้อนถึงการขยายสินเชื่อที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นทั้งจากเดือนก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หลังจากที่สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หดตัวจากเดือนก่อนหน้า (Month-on-Month) ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2552 และเดือนมกราคม 2553 อีกทั้งหดตัวจากปีก่อน (Year-on-Year) ตลอดช่วงครึ่งหลังของปี 2552 โดยปัจจัยหนุนหลัก น่าจะมาจากทั้งทิศทางเศรษฐกิจมหภาคในและนอกประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนการเร่งดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่นำมาสู่ความจำ เป็นด้านการระดมทุนที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
แต่ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ล่าสุด รวมถึงได้ประเมินแนวโน้มสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปี 2553 ไว้ ดังนี้
การเติบโตของสินเชื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553...ยังได้อานิสงส์จากการกู้ยืมเงินของภาครัฐ จากข้อมูล ธ.พ.1.1 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 สินเชื่อ (ก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 14 แห่ง ขยับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 6.2 หมื่นล้านบาท ทำให้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว สินเชื่อดังกล่าวพลิกกลับมายืนอยู่ในแดนบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่สองในอัตรา 2.35% ซึ่งเร่งขึ้นจาก 0.38% ในเดือนมกราคม 2553 และการหดตัวที่ 0.49% ในเดือนธันวาคม 2552
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียด จะพบว่าเกือบ 60% สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นสุทธิดังกล่าว มาจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น เป็นการกู้ยืมเงินจากภาครัฐ ขณะที่ จากการสอบถามธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นๆ ที่มียอดสินเชื่อเพิ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พบว่า การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อส่วนที่เหลือ จะกระจายทั้งสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่และเอสเอ็มอี ตลอดจนสินเชื่อเพื่อผู้บริโภครายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเร่งตัวขึ้นค่อนข้างชัดเจน ก่อนที่สิทธิประโยชน์ด้านค่าธรรมเนียมและภาษีจากภาครัฐจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2553 (กำหนดการเดิม) รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อ ตามการฟื้นตัวของยอดขายรถใหม่และการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าตลาดดังกล่าว แต่ทั้งนี้ สินเชื่อธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในระยะนี้ ยังคงเป็นสินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) มากกว่าที่จะเป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุนในลักษณะ Term Loans
แนวโน้มสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปีนี้ มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นกว่าคาด...หากโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจราบรื่น ขณะที่ ผลกระทบจากเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจอยู่ในขอบเขตที่จำกัด
ภายใต้สมมติฐานหลักที่สถานการณ์ทางการเมืองอยู่ในขอบเขตที่รัฐบาลสามารถควบคุมและบริหารจัดการไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังความเชื่อมั่นในการลงทุนและใช้จ่ายภายในประเทศนั้น คาดว่าโมเมน ตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยคงจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ตามแรงหนุนจากภาคการส่งออก ความต่อเนื่องในการเบิกจ่ายงบประมาณและการเดินหน้าโครงการไทยเข้มแข็งของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องมายังการจ้างงาน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมทั้งการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจ อันจะช่วยให้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีความต้องการสินเชื่อที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้นในที่สุดทั้งนี้ แม้ว่าเมื่อมองไปข้างหน้า แรงกดดันเงินเฟ้อจะทยอยปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท.และธนาคารพาณิชย์ไทย แต่คาดว่าทั้งอัตราเงินเฟ้อและขนาดอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว น่าจะอยู่ในกรอบที่ไม่สูงมากนัก นั่นคือ อัตราเงินเฟ้อในระดับที่ไม่น่าจะเกิน 3.5% สำหรับเดือนที่เหลือของปีนี้ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อาจขยับขึ้นประมาณ 0.75% ดังนั้น จึงน่าจะอยู่ในวิสัยที่ภาคธุรกิจสามารถบริหารจัดการได้ ท่ามกลางภาวะที่รายรับอาจขยับขึ้นมากกว่า
สำหรับผู้บริโภคนั้น เงินเฟ้อและระดับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น จะมีผลในการเพิ่มยอดการใช้จ่ายและสินเชื่อบัตรเครดิต ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อสินเชื่อผู้บริโภคมากนัก โดยเฉพาะในกรณีของสินเชื่อบัตรเครดิตและสิน เชื่อบุคคลที่มีการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยไว้คงที่ และท่ามกลางการแข่งขันด้านราคาระหว่างธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อใหม่ในกรณีของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อ ที่ยังอยู่ในระดับสูง
ดังนั้น เมื่อมองไปข้างหน้า หากธนาคารพาณิชย์สามารถรักษาโมเมนตัมการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรายเดือนได้เท่ากับที่ทำได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ตามแรงส่งของเศรษฐกิจ ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยก็อาจมียอดการเติบโตของสินเชื่อที่สูง ถึงประมาณ 10% เทียบกับการหดตัว 0.49% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่า สินเชื่อที่สามารถทำได้จริงอาจอยู่ในกรอบที่ต่ำกว่านั้น เนื่องจากตัวแปรหลายประการ ได้แก่ ประการแรก ปัจจัยที่หนุนสินเชื่อในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา บางส่วนเป็นปัจจัยทางเทคนิค อาทิ การเร่งขอสินเชื่อและโอนที่อยู่อาศัยก่อนที่มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะสิ้นสุดลง (ล่าสุด ครม.ได้เลื่อนวันหมดอายุออกไปเป็นสิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 จากเดิมที่จะหมดอายุในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2553) ประการที่สอง การเติบโตของภาพรวมสินเชื่อส่วนหนึ่ง (ตั้งแต่ปลายปี 2552) ได้รับแรงหนุนจากการกู้ยืมเงินจากภาครัฐ ซึ่งโดยมากน่าจะเป็นการกู้ยืมระยะสั้น และในช่วงสองปีที่ผ่านมา มักจะขยับลดลงในช่วงประมาณไตรมาสที่สามของปี ประการที่สาม การที่ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีนโยบายสนับสนุนสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่แม้จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์แห่งนั้นๆ เข้าใกล้เป้าหมายสินเชื่อที่วางไว้ได้มากขึ้น แต่ก็คงไม่ได้มีผลในการเพิ่มยอดสินเชื่อของระบบในภาพรวม เพราะเป็นการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดมาจากธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นๆ ประการที่สุดท้าย แม้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ จะอยู่ในจังหวะขาขึ้น หรือทรงตัวในระดับสูง แต่ขนาดการเพิ่มขึ้นของราคาเฉลี่ยทั้งปีดังกล่าว อาจอยู่ในกรอบที่ต่ำกว่าปี 2551 ทำให้แรงส่งของปัจจัยดังกล่าวต่อความต้องการสินเชื่อจากภาคธุรกิจน่าจะต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบกับปี 2551 (แต่ก็คงจะดีกว่าปี 2552 ที่ราคาเฉลี่ยของทั้งน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก)
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ณ ขณะนี้ จึงยังคงประมาณการสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2553 ไว้ที่ 6.0-7.0% โดยคงความเป็นไปได้ที่อาจมีการปรับเพิ่มประมาณการในอนาคต หากสถานการณ์ด้านการเมืองมีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้น จนช่วยหนุนให้แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินเชื่ออยู่ในภาวะที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพในอีก 1-2 เดือนข้างหน้านี้ สินเชื่อธุรกิจ...มีบทบาทมากขึ้นในยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ในปี 2553
การพิจารณาข้อมูลในอดีต สะท้อนว่า สินเชื่อธุรกิจมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมมากกว่าสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค โดยค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างปริมาณการเปลี่ยนแปลงของสินเชื่อธุรกิจ รายปี กับปริมาณการเปลี่ยนแปลงของจีดีพี (Nominal GDP) ในปีก่อนหน้า (t-1) นั้น สูงถึง 76% ขณะที่ ค่าความสัมพันธ์ระหว่างสินเชื่อรายย่อยกับจีดีพีอยู่ที่ 47% ดังนั้น การเติบโตของ Nominal GDP จากผลด้านราคา หรือเงินเฟ้อตั้งแต่ปี 2552 (ซึ่งชดเชยกับการหดตัวของ Real GDP ในปี 2552) รวมถึงที่คาดว่าจะปรากฏขึ้นต่อเนื่องในปี 2553 ก็น่าจะช่วยทำให้สินเชื่อธุรกิจมีโมเมนตัมการเติบโตที่สูงขึ้นทั้งในปีนี้และปีต่อไป ด้วยบทบาทในปริมาณสินเชื่อปล่อยใหม่สุทธิทั้งสิ้นในแต่ละปีที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าการพิจารณาในมิติของอัตราการเติบโตจากปีก่อน (YoY) ของสินเชื่อธุรกิจจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าสินเชื่อรายย่อยจากผลของฐานที่ใหญ่กว่ามากก็ตาม
เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน คาดว่าสัดส่วนการตั้งวงเงินประเภท Term Loans ต่อสินเชื่อปล่อยใหม่รวมของภาคธุรกิจ น่าจะเพิ่มสูงขึ้น แทนที่จะเน้นหนักไปในด้านสินเชื่อเพื่อเงินทุนหมุนเวียน เหมือนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้ สินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ ยังถูกคาดหมายว่าจะเป็นตัวนำการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจในรอบนี้ หลังจากที่เคยนำการหดตัวของสินเชื่อธุรกิจในภาพรวมในปี 2552
คาดการณ์อัตราการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อเพื่อการบริโภคในปี 2553ประเภทสินเชื่อ ปี 2552 (% YoY) ปี 2553F (% YoY) ปัจจัยหนุน สินเชื่อธุรกิจ (รายใหญ่และเอสเอ็มอี) -3.8% 4.5-5.3% & 61607; การฟื้นตัวของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก การบริโภคภาครัฐ และการบริโภคในประเทศ
อัตราการใช้กำลังการผลิตของบางอุตสาหกรรมที่คงจะเกินระดับศักยภาพ จนนำมาสู่ความต้องการลงทุนเพิ่มเติมในช่วงระหว่างปี 2553
ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับสูง
เป้าหมายในเชิงรุกของธนาคารพาณิชย์ต่อการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี
แม้อัตราดอกเบี้ยในระบบอาจยังอยู่ในระดับต่ำในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีนี้ ซึ่งน่าจะช่วยให้ธุรกิจรายใหญ่ยังสามารถระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม แต่ก็อาจไม่มีผลกระทบต่อสินเชื่อธนาคารพาณิชย์มากนัก เพราะพอร์ตลูกค้าส่วนใหญ่ของ ธนาคารยังมีข้อจำกัดในการระดมทุนผ่านตลาดหุ้นกู้สินเชื่อเพื่อการบริโภค (สินเชื่อรายย่อย) 9.2% 9.5-11.0% & 61607;
การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ตามเสถียรภาพด้านรายได้และอำนาจซื้อที่ดีขึ้น
เงินเฟ้อในระดับที่ไม่สูงเกินไป จะช่วยหนุนยอดใช้จ่ายและสินเชื่อผ่านบัตรเครดิต ตามราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น
การยืดมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ออกไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2553 คงจะช่วยกระตุ้นยอดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย แต่กิจกรรมอาจชะลอลงหลังจากนั้น
การแข่งขันระหว่างพาณิชย์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด รวมถึงการออกรายการส่งเสริมการขายที่ตรงความต้องการของลูกค้า คงจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจขอวงเงิน หรือใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อได้รวดเร็วขึ้นที่มา: ธปท. และบ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
หมายเหตุ: เป็นข้อมูลสำหรับธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยที่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจตัวกลางทางการเงิน
โจทย์สำคัญของตลาดสินเชื่อในปี 2553...อยู่ที่การบรรเทาผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคา
ในภาวะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจเอื้ออำนวยต่อการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และธนาคารพาณิชย์ต่างต้องการเรียกคืนธุรกิจที่หดตัวลงไปในจังหวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในปี 2552 ผ่านการตั้งเป้าหมายสินเชื่อปี 2553 ในระดับที่ค่อนข้างสูง คาด ว่าจะกระตุ้นการแข่งขัน โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาที่เห็นผลในการดึงลูกค้าที่ค่อนข้างเร็ว ให้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ลูกค้าสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อบุคคล ที่คงกดดันให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) ที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากลูกค้าเหล่านั้น บางลงเรื่อยๆ จนอาจประสบกับการขาดทุนต้นทุนของเงินทุนในหลายกรณี ทั้งนี้ ในภาวะที่วงจรการแข่งขันด้านราคาดังกล่าว ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนทางการเงินหลักอย่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เตรียมขยับขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ และระบบธนาคารพาณิชย์ในภาพรวม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น เพื่อบรรเทาการแข่งขันด้านราคาอันไม่เป็นผลดีต่อแนวโน้มฐานะทางการเงิน คาดว่าธนาคารพาณิชย์คงจะพยายามสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เสริม (เพราะผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักของแต่ละธนาคารมีความคล้ายคลึงกันมาก) ตลอดจนการให้บริการ และรายการส่งเสริมการขายใหม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ที่มีเครือข่ายธุรกิจ (Suppliers) มากและมีอำนาจการต่อรองสูง ธนาคารพาณิชย์ก็อาจเน้นการนำเสนอ Solutions ทางการเงินในลักษณะเฉพาะ เจาะจง (Tailor-Made) เพื่อให้มีความเหมาะสมกับธุรกิจนั้นๆ มากที่สุด ขณะที่ ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี นอกจากจะเน้นการสร้างความแตกต่างด้านการให้บริการแล้ว ก็ยังอาจปรุงแต่งเงื่อนไขปลีกย่อยของผลิตภัณฑ์สินเชื่อและลูกค้าเป้า หมายให้เหมาะสมกับกระแสในระยะนั้นๆ อาทิ สินเชื่อเพื่อสนับสนุนสิ่งแวดล้อม (หลังจากมีประเด็นด้านมาบตาพุด) การปรับกระบวนการให้บริการเพื่อความคล่องตัวทางธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะบริการด้านการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนมีการผ่อนปรน เกณฑ์การพิจารณาและเงื่อนไขของสินเชื่อให้ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของลูกค้ามากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่ความเสี่ยงเครดิตในภาพรวมน่าจะปรับตัวดีขึ้น เช่น การเพิ่มวงเงินอนุมัติสินเชื่อให้สูงกว่าธนาคารคู่แข่ง และการสนับสนุนสินเชื่อที่ไม่เน้นหลักประกันสำหรับลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นต้น
ส่วนสินเชื่อรายย่อยนั้น ธนาคารพาณิชย์คงจะยังให้น้ำหนักกับการเพิ่มมูลค่าของการให้บริการ (เช่น การให้บริการที่จำเป็น หรือบริการหลังการขายสำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านด้วยการจับมือกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์) การขยายช่องทางการขายและให้บริการเพื่อให้เข้าถึงตลาดลูกค้าในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการขายผลิตภัณฑ์แบบเป็นชุด (Bundled Products) เพื่อเสริมด้านรายได้ค่าธรรมเนียม นอกจากนี้ ยังอาจประสานความร่วมมือภายในระหว่างสายงานที่ดูแลด้านธุรกิจรายใหญ่และรายย่อย เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น เช่น การให้การสนับสนุนด้านเงินทุนกับบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งตลาดลูกค้ารายย่อยที่เกี่ยวพัน หรือเป็นสมาชิกของบริษัทขนาดใหญ่นั้นๆ เป็นต้น
โดยสรุป ข้อมูลสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 14 แห่งล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 สะท้อนถึงการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยจากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง พบว่าภาคธุรกิจมีการตั้งวงเงินและเบิกใช้สินเชื่อมากขึ้น เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ยังมีความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมของความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจที่ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หากธนาคารพาณิชย์ไทยสามารถรักษาโมเมนตัมของสินเชื่อได้ตามที่ปรากฏในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ต่อเนื่องไปตลอดช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ คาดว่าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์สำหรับทั้งปี 2553 อาจเติบโตได้สูงถึง 10% อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงตัวเลขคาดการณ์สินเชื่อที่ต่ำกว่านั้น หรือที่ประมาณ 6.0-7.0% เนื่องจากเมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว พบว่าส่วนหนึ่งของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นมาจากการกู้ยืมเงินของภาครัฐ ซึ่งมักเป็นสินเชื่อระยะสั้น ขณะที่ สินเชื่อที่ให้กับภาคครัวเรือนบางส่วน ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางเทคนิคที่ถือเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่หากสถานการณ์ทางการเมืองมีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดีขึ้นและเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จนทำให้การเติบโตของสินเชื่อมีความต่อเนื่องไปในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ก็มีความเป็นไปได้ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะปรับเพิ่มประมาณการสินเชื่อในระยะต่อไป
แม้ปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นคงจะช่วยหนุนให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ไม่ยาก แต่โจทย์สำคัญคงอยู่ที่จะบรรลุเป้าหมายสินเชื่อที่สูงขึ้นกว่าปีก่อนค่อนข้างมากได้อย่างไร ซึ่งแรงกดดันดังกล่าว คงจะตอกย้ำให้สงครามราคามีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ แม้ว่าธนาคารพาณิชย์ต่างพยายามที่จะบรรเทาผลของการแข่งขันด้านราคาด้วยการเสนอความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์และบริการเสริม แต่ก็อาจต้องยอมรับว่าสภาวะการแข่งขันด้านราคาดังกล่าวนั้น ยากจะหลีกเลี่ยง และท้ายที่สุดแล้ว อาจตามมาด้วยผลกระทบต่อฐานะทางการเงินทั้งในระดับธนาคารและในภาพรวม แต่ไม่ว่าเกมนี้จะจบลงอย่างไร ผู้บริโภคหรือลูกค้าสินเชื่อในปีนี้ น่าจะมีอำนาจต่อรองและโอกาสที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
|
Comments