นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธาน เจ้าหน้าที่บริการการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้เตรียมออกหุ้นกู้เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนในช่วงสิ้นเดือน ต.ค.นี้ วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท อายุ 4-7 ปี เพื่อจะนำไปรีไฟแนนซ์หนี้ของบริษัท โดยจะจัดแบ่งจำหน่ายเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ จำหน่ายให้กับประชาชนรายย่อยผ่านทางสถาบันการเงินจำนวนประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือ 20% และสำหรับผู้ถือหุ้นกู้เดิมที่หมดอายุแล้ว ซึ่งขณะนี้มีอยู่ประมาณ 2-3 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะจำหน่ายให้กับผู้ถือหุ้นกู้เดิมที่ยังไม่หมดอายุ ส่วนอัตราดอกเบี้ยขณะนี้ ยังไม่ได้กำหนด ซึ่งต้องมีการหารือกับคณะกรรมการของบริษัทอีกครั้ง

นายเทวินทร์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติมในต่างประเทศ โดยใช้โอกาสในช่วงที่ค่าเงินบาทยังคงอยู่ในระดับที่แข็งค่าเพื่อที่จะได้ต้นทุนที่ต่ำลง โดยเบื้องต้นบริษัทได้มีการจัดทำแผน 5 ปีตั้งแต่ปี 2010-2014 โดยเตรียมงบประมาณไว้จำนวน 6 หมื่นล้านบาท

โดยแบ่งเป็น 4 โครงการใหญ่ ได้แก่ 1.เตรียมที่จะเข้าไปขยายธุรกิจเพิ่มเติมสำหรับโครงการพัฒนาและผลิตก๊าซธรรมชาติ LNG โดยจะเป็นการลงทุนของบริษัท ไม่ได้ร่วมการลงทุนกับบริษัทใด โดยขณะนี้กำลังดูรายละเอียดของโครงการว่าจะขยายไปยังประเทศใดบ้าง ซึ่งจะเป็นประเทศที่มีการผลิตก๊าซธรรมชาติ LNG อยู่แล้ว เช่น กาตาร์ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย

2.โครงการ ขยายธุรกิจถ่านหิน โดยบริษัทอาจจะเปิดกิจการเองหรือไปเทกโอเวอร์บริษัทอื่น เพราะ เล็งเห็นว่าพลังงานถ่านหินเป็นพลังงานสำรองซึ่งมีระยะเวลาการใช้ยาวนานกว่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการใช้พลังงานของประเทศในอนาคต

3.โครงการพัฒนาไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านโดยอาจจะเข้าไปร่วมลงทุนกับบริษัทโรงไฟฟ้าที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ โดยขณะนี้กำลังประสานงานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อศึกษารายละเอียดของโครงการ เพราะเล็งเห็นว่าประเทศเพื่อนบ้านยังใช้ศักยภาพของทรัพยากรไม่เพียงพอ ทั้งนี้คาดว่าแผนการลงทุนจะมีความชัดเจนในช่วงต้นปีหน้า และ

4.จะพัฒนาการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ที่ปัจจุบันได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการพัฒนาธุรกิจในด้านพลังงานของบริษัท

 “แผนการลงทุน 5 ปีนี้บริษัทได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะฉวยโอกาสในช่วงที่เงินบาทแข็งจัดทำแผนลงทุนเพิ่มเติมในต่างประเทศมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะนำปัจจัยจากค่าเงินบาทเข้ามาพิจารณาว่าจะมีผลอย่างไรต่อต้นทุนของบริษัท เพราะขณะนี้ค่าเงินบาทยังมีความผันผวนและไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้” นายเทวินทร์ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ปตท. ยอมรับว่า แผนศึกษาการควบรวมกิจการ 4 บริษัทลูกของปตท. ได้มีการศึกษาการจับคู่ใหม่ หลังจากที่ได้ศึกษารายละเอียดเชิงลึกแผนเดิมในการควบรวมกิจการคู่แรกนั้น พบว่ามี 1 ใน 4 บริษัทติดปัญหาด้านข้อกฎหมาย อีกทั้งคณะกรรมการบริษัทมีความกังวลว่าจะไม่สามารถควบรวมกิจการได้ดังนั้น จึงมีการศึกษารายละเอียดในบริษัทอื่นแทน ซึ่งคงต้องใช้เวลา และคาดว่าคงไม่สามารถสรุปทันในปีนี้

 “ยังคงเป็น 4 บริษัท แต่ยังไม่สามารถ เปิดเผยได้ว่าจะควบรวมบริษัทใดก่อนเพราะอยู่ระหว่างการศึกษาเชิงลึก แต่ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนแนวคิดว่าคงไม่ใช้การควบรวมแล้วจะได้ประโยชน์สูงสุด ต้องดูความสามารถ และความเป็นไปได้ทางกฎหมายในการควบรวมด้วย” นายเทวินทร์ กล่าว

อนึ่ง สำหรับบริษัทในเครือ 4 บริษัท ประกอบด้วย บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ซึ่งคู่แรกที่มีการพิจารณาแผนควบรวมในระดับคณะกรรมการ บริษัท คือ PTTAR-IRPC ขณะที่มีรายงานข่าวว่า ปตท.กำลังศึกษาแผนควบรวม PTTAR-PTTCH แทน หลังจากคู่แรกติดปัญหาด้านกฎหมาย

Written by :

กระแสหุ้นออนไลน์

 

Comments

B

i

u

Quote

Code

List

List item

URL

Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions

Submit Comment