Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home Hot News ส.ธนาคารไทยยันร่วมมือแก้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ
ส.ธนาคารไทยยันร่วมมือแก้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ PDF Print E-mail
Thursday, 19 January 2012 17:29

เรื่อง      เงินนำส่งเพิ่มเติมจากสถาบันการเงิน เพื่อช่วยแก้ไขภาระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555  สมาคมธนาคารไทยได้จัดการประชุมระหว่างธนาคารสมาชิก เพื่อพิจารณาผลกระทบจากร่าง พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555    ซึ่งจากข่าวที่ปรากฏในสื่อมวลชน และจากการหารือกับทางการสรุปสาระสำคัญได้ว่า  วัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก.  ฉบับนี้ก็เพื่อแก้ไขหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท  โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำส่งเงินให้กองทุนฯ ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด  โดยเมื่อรวมอัตราเพิ่มเติมดังกล่าวกับอัตราที่ธนาคารนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากในปัจจุบันร้อยละ 0.4 แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของยอดถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง

 

สมาคมธนาคารไทยมีความเห็นว่า การแก้ไขหนี้ซึ่งคั่งค้างมาเป็นเวลานานจำนวนนี้ ให้เกิดความชัดเจนเป็นสิ่งที่ดี และหนี้จำนวนนี้ควรถือเป็นภาระของประเทศที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไข จึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้    ในส่วนของสมาคมธนาคารไทยนั้น  ธนาคารสมาชิกต่างก็มีความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี  ทั้งนี้จะต้องดำเนินการโดยคำนึงถึงเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และจะต้องดำเนินไปด้วยความเป็นธรรม

 

การที่ร่าง พ.ร.ก. กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ รวมกับที่นำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก  ไม่เกินร้อยละ 1 ของยอดเงินฝาก  โดยมิได้ระบุว่าจะมีแหล่งเงินอื่นใดเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วย  แต่กำหนดให้ธนาคารต่างๆ รับภาระเพียงฝ่ายเดียว    สมาคมฯ เห็นว่าไม่ยุติธรรม และจะเป็นผลเสียกับประเทศในระยะยาว  ด้วยเหตุผลดังนี้

 

1.       ความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 จำนวน 1.4 ล้านล้านบาท กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายของทางการในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ   หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะเห็นว่า ธนาคารที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้   มิได้มีส่วนในการสร้างความเสียหายดังกล่าว    แม้ว่าจะมีบางธนาคารได้รับความช่วยเหลือจากทางการในช่วงเวลานั้น  แต่ในที่สุดแล้ว ทางการก็ได้รับชำระคืนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งจากมูลค่าหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น  จากการนำเงินส่งกองทุนฟื้นฟูฯ และสถาบันคุ้มครองเงินฝากมาโดยตลอด รวมทั้งภาษีเงินได้    นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบทบาทสำคัญในการระดมเงินฝากและอำนวยสินเชื่อแก่ธุรกิจต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับคืนมาได้

 

สำหรับธนาคารส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่เปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน  ต่างก็แก้ไขปัญหาของตนเองโดยมิได้ขอรับความช่วยเหลือจากทางการ  ทั้งโดยการเพิ่มทุนจากแหล่งเงินทุนต่างๆ  โดยการขายทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อนำมาเพิ่มทุน  หรือโดยการขายหุ้นให้แก่ผู้ลงทุนจากต่างประเทศ  ธนาคารพาณิชย์มิได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเสียหายดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ดังนั้น การกำหนดให้มีการเรียกเก็บเงินนำส่งเพิ่มเติมจากธนาคารเพื่อนำไปชำระหนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า  เนื่องจากธนาคารที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นผู้ก่อหนี้ขึ้น หรือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากหนี้ดังกล่าว จึงไม่เป็นความจริง และไม่ยุติธรรม

 

2.       ในปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ในไทยต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ 0.4 อยู่แล้ว ซึ่งนับเป็นอัตราที่อยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจโลก และสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน   ผลของการเรียกเก็บเงินในอัตราที่สูงอยู่แล้วเช่นนี้ หากมีการเรียกเก็บเพิ่มเติมขึ้นอีกให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นการซ้ำเติม และสร้างความอ่อนแอให้กับธนาคารพาณิชย์ของไทยในระยะยาว  ซึ่งจะทำให้ต้องเสียเปรียบสถาบันการเงินในต่างประเทศมากขึ้น และยิ่งในช่วงต่อไป ระบบการเงินในอาเซียนจะมีการเปิดเสรีมากขึ้นภายใต้ AEC    เงินนำส่งดังกล่าว จะเป็นอุปสรรค เป็นภาระสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินของไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่ทั้งในประเทศ ในเวทีภูมิภาค และในเวทีโลก

 

3.       การเรียกเก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะทำให้สภาพการแข่งขันของระบบสถาบันการเงินในไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์เอกชนและสถาบันการเงิน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ จะมีความเหลื่อมล้ำ  ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากขึ้น  เพิ่มความบิดเบือนในระบบ  เนื่องจากในปัจจุบัน การที่สถาบันการเงิน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ ไม่มีภาระต้องนำส่งเงินคุ้มครองเงินฝาก ทำให้มีความได้เปรียบ และสามารถเสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากแก่ประชาชนในอัตราที่มากกว่าธนาคารพาณิชย์เอกชน   ด้วยเหตุนี้ ฐานเงินฝากของสถาบัน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ จึงสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และมีการอำนวยสินเชื่อที่มิใช่ภารกิจหลักของตนแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำและความบิดเบือนที่จะเพิ่มขึ้นนี้ จะสร้างความไม่เป็นธรรม บั่นทอน ทำลายการแข่งขันในระบบ และทำให้ระบบสถาบันการเงินไทยไม่สามารถสนับสนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ ในระยะยาว

ด้วยเหตุผลดังกล่าว สมาคมธนาคารไทย จึงมีความเห็นว่า การทิ้งปัญหาหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ  โดยมิได้มีการจัดการอย่างชัดเจน จะเป็นผลเสียต่อเสถียรภาพของระบบการเงินการคลังของประเทศ  ดังนั้น จึงสนับสนุนให้มีการแก้ไขโดยเร็ว    แต่การแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวนมากเช่นนี้ จะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและเป็นธรรม ว่าจะมีแหล่งเงินใดบ้าง และจะแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบระหว่างภาคส่วนต่างๆ อย่างเป็นธรรมอย่างไร จึงจะเกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว    ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยมีความยินดีที่จะมีส่วนร่วมรับภาระกับภาคส่วนอื่นในการแก้ไขปัญหาหนี้ดังกล่าว

 

ดร.ธวัชชัย ยงกิตติกุล

เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday911
mod_vvisit_counterAll days911

We have: 910 guests online
Your IP: 216.73.216.142
Mozilla 5.0, 
Today: Sep 06, 2025

8201528