Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home Hot News ทิสโก้แนะขายหุ้นไทย ไปลงทุนหุ้นกลุ่มเอเชียเหนือ-ญี่ปุ่น
ทิสโก้แนะขายหุ้นไทย ไปลงทุนหุ้นกลุ่มเอเชียเหนือ-ญี่ปุ่น PDF Print E-mail
Wednesday, 22 January 2014 14:36

ทิสโก้เชียร์ลงทุนตลาดหุ้นเอเชียเหนือ-ญี่ปุ่น  เศรษฐกิจเติบโตดีเพราะส่งออกโตจากการฟื้นตัวของสหรัฐและยุโรปแถมราคาหุ้นยังถูกน่าลงทุน มั่นใจผลตอบแทนชนะหุ้นไทย ที่มีปัจจัยกดดันหลายด้านฉุดดัชนีไม่ขยับ พร้อมเปิดกลยุทธ์ปีม้า

 

                 ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, First Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.)  เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในปี 2557 นี้  แนะให้ผู้ลงทุนขายหุ้นไทยไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะมองว่าการลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนที่มาก กว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยซ้ำรอยปีที่ผ่านมาเนื่องจากเศรษฐกิจโลกเติบโตมากกว่า 3.25% นำโดยสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น กลุ่มประเทศเอเชียเหนืออันได้แก่ จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้  และควรลดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และการลงทุนในทองคำ ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่เคยแนะนำให้ลงทุนมาอย่างต่อเนื่องในปีที่แล้วมองว่าเริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆ ไม่แนะนำให้ลงทุนเพิ่มและควรหาจังหวะขายออกไปก่อน

 

                ในส่วนของผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศนั้น โดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ในระดับ 15-20%  ซึ่งในบางตลาดอาจจะมีผลตอบแทนที่คาดหวังมากกว่านี้เช่นตลาดหุ้นจีน ในขณะที่ผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะเกิน 10% เพราะขณะนี้ต้องเผชิญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจที่จะมาลงทุน

 

                 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังคงเป็น ตลาดที่น่าสนใจลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว  ซึ่งเป็นผลมาจาก

 

1.       การดำเนินนโยบาย Abenomics ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ระดับ 2% และเริ่มเห็นผลที่ชัดเจน จากตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น และช่วยกระตุ้นให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวดีขึ้น ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของประเทศจากที่ติดลบเกือบ1%สามารถกลับมาเป็นบวกที่1.5%

 

2.       ปัจจัยที่ยังเป็นบวกกับตลาดหุ้นของประเทศญี่ปุ่นในปีนี้ก็คือ ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้าของประเทศญี่ปุ่นเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ12%เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นมี Upside อยู่ที่ 27%

 

                  ตลาดที่น่าสนใจถัดมาคือตลาดหุ้นจีนและประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือ ซึ่งเหตุผลหลัก คือ

 

1.       คาดการณ์ว่ายอดขายและผลกำไรของบริษัทต่างๆ ในตลาดหุ้นเอเชียหนือน่าจะเติบโต ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ทั้งสามคือ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าจะทำให้เกิดการบริโภคและลงทุนที่มากขึ้น ส่งผลบวกต่อเนื่องมายังของเศรษฐกิจประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียเหนือ (จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้) เนื่องจากประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือเป็นประเทศที่มุ่งเน้นการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าทางด้านไอที

 

2.       แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินสกุลเอเชียจากการชะลอมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะส่งผลให้สินค้าจากเอเชียมีความสามารถในการแข่งขันสูง

 

3.       การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่กลุ่มเอเชียเหนือ ยังเป็นอีกแรงสนับสนุน เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีขึ้น จากแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลที่น่าจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ Valuation ของหุ้น และทำให้หุ้นจีนสามารถกลับมาซื้อขายที่ระดับ P/E สูงขึ้นได้ และมี Upside สูงถึง 70%

 

4.       ราคาหุ้นในกลุ่มประเทศเอเชียเหนือยังอยู่ในระดับที่ถูก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเอเชียทางใต้ ซึ่งรวมทั้งไทยเราเองด้วย โดยปัจจุบัน PE ตลาดหุ้นจีนและเกาหลีใต้ ยังซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นเอเชียถึง 29%

 

                ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีความน่าสนใจลงทุนน้อยลง เนื่องจากตลาดได้สะท้อนภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งแต่ในปีที่ผ่านมา และราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มองว่าการซื้อขายที่ Forward P/E และ P/B ณ ระดับปัจจุบัน แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคาดหวังเชิงบวกของนักลงทุนต่อการเติบโตของกำไรไปแล้ว ทำให้ Upside มีค่อนข้างจำกัด หรืออาจหาจังหวะลงทุนได้เมื่อราคาหุ้นมีการปรับฐานอย่างน้อย 10% จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุน

 

             ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านการเมืองที่ยังคงยืดเยื้อ รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยยังมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างจำกัด โดยคาดว่าดัชนีในปีนี้จะอยู่ที่  1,418 จุด (PE 13.5 เท่า)   ซึ่งหากลงทุนในระดับดัชนี 1,300 จุด จะมีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังประมาณ 9% เท่านั้น ซึ่งมองว่าผลตอบแทนยังไม่คุ้มค่าเมื่อเมทียบกับความเสี่ยง

 

                ทองคำ หมดสภาพการเป็นหลุมหลบภัยทางการลงทุน เนื่องจากหากนักลงทุนมองเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจะเริ่มมีความกล้าที่จะลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะดีกว่า แนะนำให้หาจังหวะลดเงินลงทุนในทองคำลงและเปลี่ยนไปถือหุ้นแทน

 

                ส่วนการลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศ เนื่องจากแม้ว่าผลตอบแทนหรือ Bond Yield จะปรับตัวขึ้นมาบ้างแล้วแต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในสภาวะปกติ ดังนั้นหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรโดยเฉพาะอายุปานกลางและยาวน่าจะปรับตัวเพิ่มได้อีก ดังนั้นมองว่ายังไม่น่าสนใจในการลงทุนในขณะนี้   

 

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday635
mod_vvisit_counterAll days635

We have: 634 guests online
Your IP: 216.73.216.208
Mozilla 5.0, 
Today: Dec 22, 2025

8316696