Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home Hot News ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ ยื่นลาออกจาก กสทช.แล้ว
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ ยื่นลาออกจาก กสทช.แล้ว PDF Print E-mail
Wednesday, 03 September 2014 12:56

 ตามที่คณะกรรมการสรรหากรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้มีมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 เสนอชื่อให้ผมดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประเภทผู้มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ทางด้านกฎหมาย นั้น

 

โดยที่ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 24/2557 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ต่อไป ข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มีผลบังคับใช้ต่อไป และมาตรา 9  แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว กำหนดว่าผู้ได้รับเลือกเป็นกรรมการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องลาออกจากการเป็นบุคคลตาม (1) (2) หรือ (3) หรือแสดงหลักฐานให้เป็นที่เชื่อว่าตนได้เลิกประกอบวิชาชีพอิสระตาม (4) แล้ว ซึ่งต้องกระทำภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการได้รับเลือก

 

ดังนั้น ผมขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ว่าผมได้ยื่นลาออกจากการดำรงตำแหน่งกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2557 ตามมาตรา 20 (3) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 แล้ว และตำแหน่งอื่นๆ ที่ต้องห้ามตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 แล้ว

 

วิสัยทัศน์ในการปฏิรูปด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ของ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ

 

ก่อนการปฏิรูปด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อนำไปสู่การจัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปในด้านนี้จำเป็นจะต้องศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหาด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเสียก่อน และเนื่องจากกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมีเนื้อหาและความเกี่ยวข้องที่กว้างขวางเกี่ยวพันกับด้านต่างๆ จึงจำเป็นต้องกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบตลอดจนทิศทางการขับเคลื่อนที่ชัดเจน จึงจะทำให้การดำเนินงานด้านปฏิรูป       ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถปฏิบัติภารกิจได้ทัน                ในกรอบระยะเวลาที่กำหนด

 

จากประสบการณ์ทำงานของผมซึ่งเคยรับราชการทั้งในภาคราชการที่เกี่ยวข้องกับการพาณิชย์และเศรษฐกิจของประเทศโดยเป็นนิติกรในกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้พิพากษาใน      ศาลยุติธรรม เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง และเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมทั้งเคยทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมายในสำนักงานกฎหมายทั้งในและต่างประเทศ ประสบการณ์ด้านกฎหมายจึงครอบคลุมทั้งในส่วนกฎหมายสารบัญญัติ กฎหมายวิธีสบัญญัติ กฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ กฎหมายเกี่ยวกับการสื่อสารและโทรคมนาคม กฎหมายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม และโดยที่ปัจจุบันผมอยู่ระหว่างรอการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน        งานของผมที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จึงเกี่ยวข้องกับกฎหมายด้านการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานภาครัฐซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ นอกจากนี้    การที่ผมมีประสบการณ์เป็นผู้พิพากษาและทำงานในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตลอดจนเป็นบอร์ดในองค์กรของที่เป็นอิสระ ผมจึงมีประสบการณ์ในงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมด้วย

 

ผมได้วิเคราะห์และจำแนกสภาพปัญหาที่สำคัญและมีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาเพื่อการปฏิรูป  ดังนี้

 

ด้านกฎหมาย

 

1. ทิศทางการพัฒนากฎหมาย

 

ปัญหา

 

การพัฒนากฎหมายมีทิศทางไม่ชัดเจน หน่วยงานต่างๆ ต่างคนต่างพัฒนา

 

ข้อเสนอแนะ

 

จัดกลุ่มกฎหมายและกำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนให้ชัดเจน กฎหมายแต่ละลักษณะจำเป็นต้องมีหลักการและทิศทางการขับเคลื่อนที่เหมาะสมในแต่ละลักษณะ

 

2. กฎหมายเศรษฐกิจ

 

ปัญหา

 

กฎหมายเศรษฐกิจไม่ก้าวทันสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป กฎหมายบางฉบับขาดเจ้าภาพผู้รับผิดชอบที่จะขับเคลื่อน มีลักษณะแยกส่วน ไม่สอดคล้องประสานกัน

 

ข้อเสนอแนะ

 

วางทิศทางการขับเคลื่อนให้ชัดเจน พัฒนากฎหมายเศรษฐกิจเป็นกลุ่ม เช่น แยกกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์  นำกฎหมายพาณิชย์ กฎหมายประกันภัย กฎหมายธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ มาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน  เพื่อกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนให้ชัดเจนและพัฒนา         ให้ตอบโจทย์ทางภาคธุรกิจโดยกฎหมายในกลุ่มนี้ต้องไม่แข็งกระด้าง และมีความยืดหยุ่น

 

3. กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

 

ปัญหา

 

มีพัฒนาการที่ช้ามาก ไม่ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป การพัฒนาจำกัดอยู่แต่เฉพาะในหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบซึ่งมักขาดการมีส่วนร่วมจากส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคประชาชน เมื่อขาดทิศทางในการพัฒนา บ่อยครั้ง จึงพัฒนากฎหมายตามแรงกดดันหรือข้อเรียกร้องของเจ้าของสิทธิ หรือประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทำให้ขาดสมดุลระหว่างประโยชน์ของเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญากับประโยชน์สาธารณะ

 

ข้อเสนอแนะ

 

เร่งพัฒนากฎหมายให้รองรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กำหนดหลักการให้ชัดเจนในทิศทาง    ที่จะพัฒนา เพื่อไม่ให้ต้องตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ กำหนดหลักการให้ชัดเจนเกี่ยวกับการสร้างสมดุล ระหว่างประโยชน์ของเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญากับประโยชน์สาธารณะ

 

4. กฎหมายการสื่อสารโทรคมนาคม

 

ปัญหา

 

กฎหมายในปัจจุบันมีลักษณะแข็งกระด้าง ไม่ยืดหยุ่น ไม่สามารถก้าวทันเทคโนโลยีที่มีการหลอมรวม (convergence) แม้ในปัจจุบันจะมีพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 แต่กฎหมายดังกล่าว ก็เพียงหลอมรวมองค์กรในส่วนของการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม และการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ แต่ขณะเดียวกันกฎหมายนี้ ไม่ได้หลอมรวมการทำงาน รวมทั้งยังกำหนดขอบเขตสำหรับความรับผิดชอบของบอร์ดกว้างเกินไป และเนื่องจากกฎหมายมีลักษณะที่มุ่งแก้ไขปัญหาในอดีตมากกว่าเตรียมพร้อมที่จะรับมือปัญหาในอนาคต รวมทั้งมีบทบัญญัติหลายมาตราไม่ยืดหยุ่น จึงเป็นอุปสรรคในการพัฒนาระบบการสื่อสารโทรคมนาคมของไทย จำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน หากปล่อยให้เรื้อรังจะทำให้ระบบสื่อสารโทรคมนาคมของไทยล้าหลังที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

 

ข้อเสนอแนะ

 

รีบแก้ไขกฎหมายเพื่อให้มีความยืดหยุ่น ทันสมัย กำหนดกรอบความรับผิดชอบขององค์กรกำกับดูแลให้มีความเป็นองค์กรและมีการทำงานที่หลอมรวมอย่างแท้จริง รวมทั้งพัฒนากฎหมายใหม่  เฉพาะด้าน     เช่น กฎหมายดาวเทียมสื่อสาร เพื่อให้การกำกับดูแลและพัฒนาการในด้านนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 

5. กฎหมายเกี่ยวกับองค์กรตรวจสอบภาครัฐและการป้องกันขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ

 

ปัญหา

 

บางองค์กรมีอำนาจตรวจสอบกว้างเกินไปและเบ็ดเสร็จ ครอบคลุมทำให้ขาดทักษะและความชำนาญพิเศษในเรื่องที่ตรวจสอบเฉพาะด้าน และกฎหมายเปิดช่องให้องค์กรตรวจสอบบางแห่งมีดุลพินิจกว้างเกินไป    จนสามารถขยายขอบเขตอำนาจไปก้าวล่วงขอบเขตความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่น กรณีของดีเอสไอ           มีคณะกรรมการสามารถกำหนดคดีบางเรื่องเป็นคดีพิเศษ เพื่อให้ดีเอสไอ มีอำนาจในการสอบสวนได้ ซึ่งบางครั้งคดีดังกล่าวอยู่ในขอบเขตอำนาจตามกฎหมายขององค์กรอื่นของรัฐ นอกจากนี้ กฎหมายยังไม่เปิดช่องให้องค์กรตรวจสอบใช้กลไกในเชิงป้องกันได้อย่างเต็มที่ และองค์กรตรวจสอบเฉพาะด้านขาดกลไก                ในการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ข้อเสนอแนะ

 

กำหนดกรอบอำนาจและแนวทางการใช้ดุลพินิจขององค์กรตรวจสอบ ให้ชัดเจน และควรวางกรอบอำนาจหน้าที่ขององค์กรตรวจสอบเฉพาะด้าน โดยเน้นความชำนาญพิเศษ เพื่อไม่ให้องค์กรตรวจสอบนั้นๆ          มีอำนาจตรวจสอบครอบจักรวาลจนก้าวล่วงไปตรวจสอบการใช้ดุลพินิจขององค์กรชำนาญพิเศษ เสมือนกับ        ทำหน้าที่เป็นองค์กรชำนาญพิเศษเสียเอง นอกจากนี้ กฎหมายควรส่งเสริมและให้อำนาจองค์กรตรวจสอบ   ในการใช้มาตรการป้องปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในเชิงรุก และในกรณีมีการกระทำความผิดขึ้น กฎหมายควรเปิดช่องให้องค์กรตรวจสอบเฉพาะด้านมีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ

 

6. กฎหมายที่รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

 

ปัญหา

 

แม้ว่าประเทศไทยใกล้จะเข้าสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในรูปแบบของ AEC ซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติโดยจำเป็นจะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ไทยได้ให้ไว้ และแม้ว่าจะมีการประชุมเตรียมการและทราบว่ามีภารกิจใดที่จะต้องดำเนินการบ้าง แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีองค์กรที่เดินหน้าขับเคลื่อนการปรับปรุงกฎกติกาเพื่อรองรับ AEC อย่างจริงจัง

 

ข้อเสนอแนะ

 

พิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวกับเพื่อรองรับ            การเข้าสู่ AEC ของประเทศไทย มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงและเร่งดำเนินการโดยเร็ว

 

ด้านกระบวนการยุติธรรม

 

ปัญหา

 

แม้ว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยมีพัฒนาการมายาวนานและมีการพัฒนามาในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้มีการกระทำความผิดในรูปแบบใหม่ๆ ส่งผลให้การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมแบบเดิมๆ          ไม่สามารถก้าวทันและมิอาจจัดการกับการกระทำความผิดและการทุจริตในรูปแบบใหม่ๆ ได้ และเนื่องจากกระบวนการยุติธรรมของไทย ขาดการทำงานแบบบูรณาการและขาดการเตรียมการรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้บ่อยครั้งทิศทางของกระบวนการยุติธรรมไทยเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือใช้วิธีแก้ปัญหาแบบวัวหายแล้วล้อมคอก รวมทั้งยังขาดการพัฒนาอย่างเป็นระบบ จึงเป็นเหตุให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ทำงานในลักษณะต่างคนต่างทำ ขาดกลไกป้องกันขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพและใช้เวลานานในการพิจารณา หน่วยงานบางแห่งในกระบวนการยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่กว้างและเบ็ดเสร็จ หรือมีแนวโน้มที่ใช้ดุลพินิจขยายอำนาจหน้าที่ของตนจนไปก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น และบางครั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเลือกปฏิบัติหรือ             ใช้สองมาตรฐาน  นอกจากนี้ ทัศนคติของผู้ใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมหลายคนเป็นลักษณะอำนาจนิยม ทำให้กระทบต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนอย่างเป็นธรรม

 

ข้อเสนอแนะ

 

การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยจึงต้องทำทั้งระบบ ควบคู่ไปกับการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทั้งในส่วนสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติ ซึ่งจะต้องเน้นการทำงานในเชิงรุกในลักษณะบูรณาการ สอดประสานทุกหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม โดยกำหนดกรอบภารกิจของแต่ละหน่วยงานให้ชัดเจน ลดการซ้ำซ้อนในอำนาจหน้าที่ การเข้าไปใช้บริการด้านการยุติธรรมต้องมีการปรับปรุงโดยลดขั้นตอนความซับซ้อนและต้องง่ายพอที่ประชาชนจะสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้    แต่ต้องมีมาตรการเพื่อป้องกันการกลั่นแกล้ง

 

การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจะต้องปฏิรูประบบการดำเนินงานขององค์การต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นความชำนาญพิเศษเฉพาะด้าน แต่ต้องสามารถตรวจสอบการทำงานซึ่งกันและกันโดยไม่มีองค์กรหนึ่งองค์กรใดมีอำนาจผูกขาดในกระบวนการยุติธรรมที่จะส่งผลให้การดำเนินคดีเป็นไปโดยมิชอบ นอกจากนี้    การบริหารงานขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมทุกองค์กรต้องโปร่งใส ไม่ใช่ระบบปิด โดยควรต้องมีระบบที่เปิดรับการตรวจสอบจากองค์กรภายนอกและสาธารณชน แต่จะต้องมีระบบที่ป้องกันมิให้กลุ่มผลประโยชน์อ้างเหตุเข้ามาตรวจสอบ แต่แท้ที่จริงแล้วต้องการเข้ามาล้วงลูกและแทรกแซงการดำเนินการ

 

กระบวนการยุติธรรมไทยยังจะต้องมีการปฏิรูปเครื่องมือในการปฏิบัติงานหรือในการใช้         เพื่อตรวจสอบ เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม รวมทั้งต้องมีกฎหมายที่ดีและทันสมัยที่จะทำมาใช้ในการบังคับกลไกในกระบวนการยุติธรรมให้เกิดประสิทธิภาพและเที่ยงธรรม

 

นอกจากนี้ หัวใจที่สำคัญของกระบวนการยุติธรรม คือ บุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมและจริยธรรม และที่สำคัญจะมีทัศนคติแบบอำนาจนิยมไม่ได้ เพราะหากทัศนคติของบุคลากรที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม มิได้อยู่บนพื้นฐานของความเที่ยงธรรมและปราศจากอคติ รวมทั้งมีลักษณะเป็นพวกอำนาจนิยมแล้ว แม้ตัวบทกฎหมายและระบบการพิจารณาคดีจะดีอย่างไร ก็ย่อมไม่สามารถนำไปสู่การอำนวยความเป็นธรรมอย่างมีคุณภาพได้

 

สรุป

 

หากผมได้การสรรหาเข้าไปเป็น สปช. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ก็จะใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะที่เกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่ สปช. อย่างสุดความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และร่วมกันจัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตามแนวทางที่ได้นำเสนอไปข้างต้น

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday688
mod_vvisit_counterAll days688

We have: 688 guests online
Your IP: 216.73.216.208
Mozilla 5.0, 
Today: Dec 25, 2025

8275448