KYE อากาศร้อนกำไรเด่นปันผลดี ตามมุมธณพงศ์ มีทอง |
![]() |
![]() |
![]() |
Wednesday, 12 May 2010 09:35 | |||
KYE อากาศร้อนกำไรเด่นปันผลดี "ธณพงศ์ มีทอง" ไปคุยมาแล้ว...ความเปลี่ยนแปลงของ KYE ชัดเจนมากที่สุดหลังจากมองย้อนไปยังผลประกอบการของปี 2551 บริษัทมีรายได้สุทธิ 6,789.20 ล้านบาท กำไรสุทธิ 426.44 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 6.28% แล้วนำมาเปรียบเทียบกับผลประกอบการของปี 2552 งวด 9 เดือน บริษัทสามารถทำรายได้สุทธิ 5,274.45 ล้านบาท กำไรสุทธิ 773.94 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิพุ่งขึ้นเป็น 14.67% จะเห็นว่า อัตรากำไรเพิ่มขึ้นสูงมาก 9 เดือนมีกำไรต่อหุ้น 35.18 บาท ไตรมาสสุดท้ายน่าจะทำได้ดีกว่าไตรมาส 3 เพราะฤดูการขาย ถึงแม้ว่าไตรมาส 3 จะมีผลประกอบการออกมาไม่สวยหรูนัก แต่ในไตรมาส 4 (มกราคม-มีนาคม) ซึ่งเป็นฤดูการขาย ในมุมของผู้บริหาร คุณประพัฒน์ โพธิวรคุณ ประธานกรรมการบริหาร ยืนยันว่า แต่ละปีในช่วงเวลาดังกล่าว จะมียอดขายเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ ทั้งสินค้าตู้เย็น พัดลม และเครื่องปั๊มน้ำ ทั้ง 3 รายการ บริษัทเป็นผู้นำตลาด แบรนด์เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป นอกจากนี้ บริษัทยังผลิตและส่งออกไปยังต่างประเทศสูงถึง 70% ที่เหลือขายในประเทศ และตลาดต่างประเทศก็กำลังเติบโต รวมทั้งบริษัทลูก ซึ่งผลิตสินค้าและส่งออกถึง 90% ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะทำให้ไตรมาส 4 ของบริษัทไม่เติบโต และที่สำคัญฤดูการขายของ KYE ยังยาวไปถึงประมาณเดือนมิถุนายน 2553 ในมุมมองของข่าวเห็นว่า ผลประกอบการของ KYE ในรอบสิ้นปี และไตรมาส 1 น่าจะออกมาดี เมื่อดูจากอัตรากำไรสุทธิที่สูงมากกว่า 14% ที่สำคัญ บริษัทประสบความสำเร็จ ในการลดต้นทุนการผลิต โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ และมาตรฐานของสินค้า ทำให้มาตรการนี้ จะยังมีต่อไป เนื่องจากเห็นว่า เป็นผลดีต่อบริษัท จากนั้น ก็ไปมองที่ดูสินทรัพย์ ถือว่าสูงมาก 4 พันล้านบาท หนี้สินมีแค่ 1.1 พันล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นหนี้ทางการค้า ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไร ขณะที่หนี้สินกับสถาบันการเงินนั้น "ไม่มี" ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งของหุ้นที่จ่ายปันผลดีมากกว่าปีที่แล้ว ที่จ่ายหุ้นละ 9 บาท เนื่องจากปีนี้กำไรดีมาก และที่สำคัญคือ ที่นี่จ่ายปันผลในอัตรา 50% ของกำไรสุทธิ จนกระทั่งมีการคาดการณ์กันว่า น่าจะจ่ายมากกว่า 20 บาทต่อหุ้น แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคต ที่เราจะต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป "ประพัฒน์ โพธิวรคุณ" ประธานกรรมการบริหาร KYE ทิศทางของ KYE ในอนาคตว่ารวมเศรษฐกิจโลก ดูดี คู่ค้าดูดี และภาวะบริษัทที่ดูดีขึ้น หนึ่งคือ เรื่อง FTA เป็นสาเหตุทำให้บริษัทมีอัตราการขยายตัวที่ดีขึ้น ยอดขายที่เพิ่มมาจากการเข้าไปในอาฟต้า และเอฟทีเอ กับจีน และอินเดีย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ เหล่านี้เป็นตลาดใหม่ที่ KYE มองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ แม้ภาพรวมๆ อาจจะมีการมองว่าไทยเสียประโยชน์จะมีสินค้าของจีนทะลักเข้ามา เรื่องนี้ไม่มีปัญหาสำหรับ KYE "ก็ต้องมีการสู้กัน และต้องหนีกัน เราก็หนีไปยังสินค้าไฮเอ็น ที่ผ่านมาเราเจอของจีนมานานแล้ว แข่งกันมานานแล้ว ก็สู้กันมาโดยตลอด สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นประเด็น แต่เอฟทีเอ ทำให้ยอดขายของบริษัทมีมากขึ้น เรามีโอกาสมากขึ้น ตลาดเรากว้างขึ้น เอฟทีเอ ถ้าไม่รู้จักการใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องดูในสิ่งที่เราได้เปรียบ แล้วมาช่วยกันส่งเสริม คนที่ทำธุรกิจต้องหูตากว้างขวาง อย่าไปโทษเอฟทีเอ ให้เลือกเอาที่เราได้ประโยชน์ ต้องบริหารให้เป็น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับหลักการบริหาร คนก็สำคัญ ที่สำคัญคือ เราพยายามลดต้นทุน ปรับปรุงเครื่องจักร ระบบการทำงาน และทำมาโดยตลอด และยังยืนยันต้องทำอย่างต่อเนื่อง เรื่องค่าเงินไม่มีปัญหา ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เรามีระบบการปรับปรุงการทำงาน ปรับปรุงภายในลดต้นทุน โดยให้มีคุณภาพมากขึ้น ที่สำคัญคือ การปรับปรุงคุณภาพไม่จำเป็นต้องทำให้มีต้นทุนสูง ขึ้นอยู่กับการบริหาร" ความโดดเด่นของ KYE นอกจากสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก เป้าหมายในปีนี้ มองค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น ดอกเบี้ยสูงขึ้น วัตถุดิบก็จะขึ้นราคา น้ำมันจะขึ้นราคา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ต้องมีการพัฒนาภายในมากขึ้น ปรับปรุงเครื่องจักร ปรับปรุงการทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในอนาคต เมื่อภายในแล้วเสร็จ ก็มองไปยังตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะตะวันออกกลาง อินเดีย จีน อาเซียนเริ่มไปแล้ว นอกนั้นถือว่าเริ่มต้น และมั่นใจว่า "เราชนะได้" "อย่างจีน หรืออินเดีย ตลาดถือว่าใหญ่มาก ในตลาดนี้ยังมีกลุ่มคนที่มีเงิน และต้องการใช้ของดีมีคุณภาพ มีแบรนด์ ไม่ได้ต้องการของราคาถูก ต้องการมีหน้าตาในการใช้ผลิตภัณฑ์ เป็นเครื่องบอกฐานะของคน และราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และของจีนก็ไม่ได้ถูกเหมือนเดิม แต่นับว่าจะเริ่มแพงขึ้น ที่ใหม่ๆ ที่กล่าวมาเป็นตลาดใหญ่มาก และด้วยคุณภาพที่พัฒนามาโดยตลอด มีการสั่งสมประสบการณ์ แต่ละตลาดได้มีการศึกษาแล้วว่าจะเราจะเข้าไปได้" ส่วนอัตราการเติบโตของ KYE ไม่น่าจะต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คาดว่าจะเติบโตยอดขาย 10-15% เมื่อเทียบกับปี 51 และปี 2553 ยังหวังว่าจะเติบโตมากขึ้น ฤดูที่สามารถทำยอดขายได้สูงสุดคือ ไตรมาส 4 และหนึ่ง ถือว่าขายดีมาก เป็นประจำทุกปี โดยสัดส่วนการขายในประเทศ 30% ที่เหลือส่งออก 70% ไทยเป็นฐานการผลิตรายใหญ่ที่ส่งไปทั่วโลก สินค้าที่มองเห็นภาพชัดเจน คือ พัดลม ตู้เย็น และมีมาร์เก็ตแชร์เบอร์หนึ่ง ดีไซน์แบบของตู้เย็น คนทั่วไปชอบ "KYE เราอยากทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ อยากจะทำให้ดีขึ้น คือปรับปรุงระบบงานให้ดีขึ้น ที่ผ่านมาการลงทุนใหญ่ๆ ไม่ค่อยมี เว้นแต่ปีที่แล้วที่ปรับปรุงภายใน ทำให้เรามีวันนี้ได้ และยืนยันว่าจะทำต่อเนื่อง เพาะยังมีหลายๆ อย่าง เช่น มองหาสินค้าใหม่ แต่หลักๆ จะเน้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับของเดิม และสินค้าที่ต้องการส่งไปยังประเทศใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดที่ยังไม่เคยไป และเอฟทีเอ จะทำให้เราได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งหมดก็มาจากหลักการบริหารจัดการที่พร้อม"
|
![]() | Today | 1262 |
![]() | All days | 1262 |
Comments