ประเด็นสำคัญวันนี้ ของ "ธณพงศ์ มีทอง" ยังต้องติดตามปัญหาวิกฤติหนี้สินในยุโรปที่เริ่มลุกลาม ทำให้ล่าสุด FITCH ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปนจาก AAA เป็น AA+ เรื่องของ "กรีซ" เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.) ผมได้กล่าวในรายการสแกนหุ้น วิทยุ FM 106 Mhz. วิทยุครอบครัวข่าว ของช่อง 3 กรณีที่ "จอร์จ ปาปาคอนสแตนตินู" รมว.คลังกรีซ ออกมายืนยันว่า จะไม่ประกาศมาตรการลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการรัดเข็มขัดอย่างเข้มงวด และจะดำเนินการตามมาตรการเดิมต่อไป นอกจากนี้ยังได้ชี้ว่า เศรษฐกิจของกรีซจะพบกับจุดต่ำสุดในปีนี้ ก่อนจะค่อยฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ตามที่คาดว่าอาจยิ่งทำให้เศรษฐกิจถดถอยลงกว่าเดิม แต่ก็ยังคงจะอยู่ในแผนความช่วยเหลือด้านการเงินจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต่อไป โดยสามารถพักการชำระหนี้ไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2555 ซึ่งทางการจะเร่งฟื้นเศรษฐกิจประเทศอย่างเต็มที่ จากปัจจัยดังกล่าว ยังถือว่าไม่น่าอันตรายมากนัก เพราะยังเชื่อว่ายุโรปเองก็พยายามจะแก้ไขปัญหานี้ไม่ให้ลุกลามต่อไป เป็นความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อป้องกันวิกฤติ ทำให้มองแนวโน้มตลาดสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะได้รับแรงกดดันให้ปรับลดลงจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปน ซึ่งมาจากปัญหาหนี้สาธารณะภาครัฐของยุโรป (Europe Sovereign Crisis) อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญหายังไม่ได้คลี่คลาย บวกกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ปรับปรุงล่าสุดของสหรัฐในไตรมาส 1 ขยายตัวที่ 3% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์นั้น นอกจากจะสร้างความผิดหวังให้กับตลาดแล้ว ยังจะทำให้เกิดความกังวล เพราะเชื่อว่าหนึ่งในปัญหาน่าจะมาจากกรีซ ในมุมดังกล่าว ใช่ว่าจะไม่มีข่าวดีสำหรับสหรัฐ เมื่อเมื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เราจะเห็นว่ายังมีปัจจัยบวกหลายประการ เช่นการขยายตัวของยอดขายบ้านใหม่ในเดือน เม.ย.ที่สูงที่สุดในรอบ 2 ปี การขยายตัวของการจ้างงานก็ยังอยู่ในระดับที่ดี แต่ในระยะสั้น ปัญหาของกรีซก็ยังกดดัน จึงต้องจับตาดูดาวน์โจนส์กันต่อไป รวมไปถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก
ปัจจัยในประเทศ ยังถือว่าดีอยู่ หลังแบงก์ชาติประกาศตัวเลขทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ วันที่ 21 พ.ค. 2553 อยู่ที่ 143,856 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่องตลอดช่วงเดือน พ.ค. ที่เริ่มมีความรุนแรงทางการเมือง ประกอบกับวิกฤติหนี้ของประเทศในยุโรปเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจและนำเงินกลับออกนอกประเทศ จนส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวค่อนข้างมาก และหากนักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่อง โอกาสที่จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นยังถือว่าลำบาก รวมทั้งจับตาดูตลาดทองคำ ล่าสุดราคาทองคำตลาดนิวยอร์คส่งมอบเดือน มิ.ย.ปรับเพิ่มเป็น 1,212.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ออนซ์ (+0.3) ถือว่ายังยืนอยู่เหนือ 1,200 ดอลลาร์ต่ออนซ์ ทำให้เชื่อว่าเงินยังคงไม่ออกจากการนำไปพักไว้ที่ตลาดทองคำ สัญญาการย้ายฐานเงินจึงยังไม่เกิด
อุตสาหกรรมเด่น จับตาดูมานาน นี่จะเป็นอีกหนึ่งของหุ้นดี หุ้นเด่น ที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักลงทุน ด้วยราคาสามารถยืนได้อย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลาที่เกิดปัญหาทางการเมือง เป็นหุ้นกลุ่มปิโตรขนาดกลางๆ ที่มีการขยายธุรกิจครบวงจรมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในส่วนของ PET ทำให้มองแนวโน้มรายได้ของบริษัทเติบโตไปตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ความเสี่ยงด้านราคาผลิตภัณฑ์ก็มีไม่มาก การทำธุรกิจมีทั้งขั้นกลางน้ำ และปลายน้ำ หลังจากราคาหุ้นยืนแข็งแกร่งไม่หลุด 16 บาท ทำให้มีโอกาสยืนเหนือ 18 บาทได้ในไม่ช้า และถ้าปัญหาของกรีซคลี่คลาย นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาในตลาด โอกาสที่จะเห็น IVL ฟื้นตัวแรงๆ ทะลุเกิน 20 ได้เหมือนกัน หากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังอยู่ในระดับที่ดี
ว่ากันด้วยพื้นฐานล้วนๆ IVL น่าจะเป็นอีกหนึ่งของหุ้นปลอดภัยที่น่าติดพอร์ตไว้ หลังจากก่อนหน้าได้แนะนำ PTTEP ให้ติดพอร์ตถือยาวกันมาแล้ว และเมื่อมองดูบทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองหุ้นที่น่าสนใจเมื่อตลาดปรับตัวลง ยังยกให้ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (BANPU, PTTEP, PTTCH) โรงไฟฟ้า (GLOW) กลุ่มวัสดุฯ (SCC, SCCC, TSTH, DCC) กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TUF, TVO, STA) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (KCE, DELTA) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY)
บล.ซิกโก้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 23.00 บาท หลังบริษัทรายงานผลการดำเนินงานใน 1Q10A มียอดขายเท่ากับ 24,100 ลบ. เพิ่มขึ้น 36.9% YoY และ 15.2% QoQ เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามปริมาณการขายของบริษัทยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยสัดส่วนการใช้กำลังการผลิตของ PET, PTA และ Polyester เท่ากับ 94%, 100% และ 80% ตามลำดับ ส่งผลให้บริษัทรายมีกำไรสุทธิ 1Q10A เท่ากับ 1,530 ลบ. เพิ่มขึ้น 37.8% YoY และ 24.3% QoQ กับมุมมองในเชิงบวกต่อภาพรวมอุตสาหกรรม อีกทั้งการขยายตัวของกิจการยังส่งผลดีต่อการควบคุม margin ที่ดีมากขึ้น นอกจากนี้ภาระหนี้สินของบริษัทยังปรับตัวดีขึ้น โดยล่าสุดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงเหลือ 1.69x จากเดิม 2.31x ใน FY09A ยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้มูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 23.00 บาท อิง PER ที่ 15 เท่า
----------------------------------------------------------------------
|
Comments