| มองหุ้น KTC มีไว้ไม่เสียใจ |
|
|
|
| Wednesday, 14 October 2009 09:32 | |||
|
ผลประกอบการของ KTC หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีรายได้รวมสำหรับงวด 6 เดือนมีจำนวนทั้งสิ้น 6,209 ล้านบาท มีอัตราเพิ่มขึ้น 7% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มาจากรายได้ดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินและรายได้ค่าธรรมเนียมที่มีสัดส่วนคิดเป็น 71% และ 24% ของรายได้รวม โดยในครึ่งปีแรกนี้มีรายได้ดอกเบี้ยรับรวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน และรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 9% และ 7% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับไตรมาสที่ 2 มีรายได้รวมจำนวนทั้งสิ้น 3,095 ล้านบาท มีอัตราเพิ่มขึ้น 8% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 2,868 ล้านบาท ทั้งนี้แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยรับรวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินในไตรมาสนี้มีจำนวน 2,184 ล้านบาทลดลง 1% จากไตรมาสที่ผ่านมา แต่หากเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจะคิดเป็นเติบโตที่ 8% ขณะที่การออกหุ้นกู้เป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมในการจัดหาเงินทุน เพื่อใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างทั้งนักลงทุนที่เป็นสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมองเห็นศักยภาพของ KTC ในอนาคต ยังอยู่ในทิศทางที่ดี ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาสที่ 2 เท่ากับ 100 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับ ไตรมาสที่ ผ่านมาและงวดระยะเวลาเดียวกันกับปีก่อน สำหรับงวด 6 เดือน KTC มีกำไรเท่ากับ 202 ล้านบาท ความสามารถในการทำกำไรยังอยู่ในระดับที่ดี เรื่องนี้ "นิวัตต์ จิตตาลาน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน แต่เชื่อว่าจะไม่ขาดทุน จากเดิมปี 2551 มีกำไรสุทธิ 520 ล้านบาท และมีรายได้ 8,117 ล้านบาท ข้อดีก็คือ ภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในแง่ของการใช้จ่ายยังคงที่ กลุ่มที่ต้องชำระเงินทุกสิ้นเดือนยังไม่พบปัญหามากนัก ซึ่งมีอยู่ 80% ของฐานบัตรทั้งหมด แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องมีการผ่อนชำระอาจเกิดปัญหาบ้าง ทางบริษัทฯ มีตัวแทนที่จะเข้าไปพูดคุยแก้ปัญหาพิจารณาเป็นรายๆ ไป ส่วนแนวโน้มในครึ่งปีหลังว่าจะยังอยู่ในสภาวะทรงตัว ไม่เลวร้ายไปกว่าครึ่งปีแรก ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมคาดว่าจะยังทรงตัวจากปีก่อนที่ 9.6 หมื่นล้านบาท แต่หากเศรษฐกิจดีขึ้นมองว่าอาจจะสามารถมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 แสนล้านบาทได้ มุมมองของ บล.ฟิลลิป ผลกำไรงวด 6 เดือน 2552 คิดเป็น 47.3% ของประมาณการปี 2552 ที่ 426.30 ล้านบาท และมองว่ากิจกรรมในครึ่งหลังของปีจะคึกคักขึ้น รวมทั้งคาดหมายค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้มูลค่า 4 พันล้านบาท ในเดือน มิ.ย.และ ชุดใหม่มูลค่า 4.50 พันล้านบาทในเดือนส.ค. อีกทั้งคาดหมาย เห็นค่าใช้จ่ายด้านการตลาดปรับเพิ่มขึ้นในช่วงท้ายปี มุมมองของ “ธณพงศ์ มีทอง” น ไปในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะจากการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง การผ่อนคลายนโยบายการเงินการคลัง เพื่อหนุนการฟื้นตัวต่อเนื่อง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลดีต่อการเติบโตในอนาคต รวมไปถึงการฟื้นตัวของธุรกิจการท่องเที่ยว ที่ KTC เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ KTC ให้ความสำคัญทำกิจกรรมส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน KTC ยังเป็นผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิต บวกกับ ทีมผู้บริหารที่มีศักยภาพ มีนโยบายบริหารธุรกิจด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่อยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกและความไม่แน่นอนของแหล่งเงินทุนในปัจจุบัน เชื่อว่ายอดสินเชื่อคงค้างมีโอกาสที่จะไม่เติบโตหรือลดลงมากนัก การรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ดี เป็นสิ่งท้าทายในยามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมไปถึง การพิจารณาสินเชื่อและนโยบายการจัดเก็บหนี้ที่เข็มงวดขึ้น และมีแผนในการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรในกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น จะช่วยให้ช่วงครึ่งปีหลังและต้นปีหน้าจะฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม มุมมองถึงผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ เชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้ KTC สามารถเติบโตฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้ง รวมทั้งทำให้ธุรกิจเติบโตได้โดยไม่ได้รับผลกระทบมากนักเมื่อสิ้นสุดไตรมาส 4 และเชื่อว่าจากเศษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จะผลักดันให้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรดีขึ้น การผิดนัดชำระหนี้น้อย และด้วยราคาหุ้นในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่เคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดถึง 31 บาท เมื่อปลายปี 2550 ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 820 จุด ก่อนจะทยอยปรับตัวลดลงเมื่อต้นปี 2551 จนถึงสิ้นปีอยู่ที่ระดับ 7.85 บาท ดัชนีขณะนั้นประมาณ 450 จุด ก่อนจะขยับขึ้นในปี 2552 มาอยู่ในระดับประมาณ 12 บาทในกลางปี ดัชนีหุ้นไทยอยู่ประมาณ 650 จุด ปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 740 จุด หุ้น KTC อยู่ที่ 13.90 บาท และเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาจะพบว่า KTC ระดับราคาได้ปรับตัวน้อยกว่าตลาด และน้อยกว่าหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีอีกหลายตัว ทำให้มองเห็นโอกาสของการปรับตัวขึ้นของ KTC ในอนาคต สรุปว่า KTC เป็นอีกหนึ่งของหุ้น Laggard ที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว
ธณพงศ์ มีทอง This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it -----------------------------------------------
|






![]() | Today | 1613 |
![]() | All days | 1613 |
Comments