Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home All News ตีเกราะเคาะหุ้น "ธณพงศ์ มีทอง" มอง KK ไม่ซื้อแล้วจะเสียใจ
"ธณพงศ์ มีทอง" มอง KK ไม่ซื้อแล้วจะเสียใจ PDF Print E-mail
Tuesday, 29 December 2009 04:58

แบงก์ไทยใครๆ ก็ว่าแข็งแกร่ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์รอบนี้ ทุกแบงก์ต่างระวังตัว ทำให้วันนี้ในประเทศไทย มีไม่แบงก์ไหนเลยที่ส่อให้เห็นว่าจะล้มละลายเหมือนในสหรัฐอเมริกา และที่สำคัญคือ ช่วงที่เหลือก่อนหมดปีวัว พ.ศ.2552 นี้ มองกันดูดีๆ ยังมีแบงก์หนึ่งแบงก์ที่เราหลงลืมกันไปหรือเปล่า ลองมาดูกัน ว่าจริงหรือไม่ว่า KK ถ้าไม่ซื้อวันนี้แล้วจะเสียใจ เพราะของดีแบบ KK ที่กำลังถูกลืมจากนักลงทุน
                ดูจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารกันก่อน "ชวลิต จินดาวณิค" ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KK ได้คาดการณ์สินเชื่อรวมในปี 2552 เติบโตเกินเป้าที่ 5% หลัง 9 เดือนแรก สินเชื่อรวมมีอัตราการเติบโตที่ 4.7% ขณะที่ส่วนของสินทรัพย์นั้นก็เติบโตตามเป้าอยู่ที่ 1.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ประมาณ 7.4%มีแผนที่เปิดสาขาเพิ่มอีก 7 สาขา ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 4 สาขา สิ้นปีคาดว่าจะมีสาขารวมทั้งหมด 44 สาขา รวมสำนักงานใหญ่
                ขณะเดียวกันสิ้นปีนี้คาดว่าจำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL อยู่ที่ 6.1% เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่อยู่ 7.15% โดยในไตรมาส 3/2552 NPL อยู่ที่ประมาณ 6.2% เป็นผลมาจากเป้าหมายของธนาคารที่จะพยายามรักษาคุณภาพสินเชื่อและไม่ได้มุ่งเน้นการเติบโตของสินทรัพย์ ที่สำคัญปีนี้ที่นี่ไม่ได้ออกหุ้นกู้ จากเหตุผลเพราะ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังสูง เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 16.64% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 15.42% ปีหน้าคาดการณ์สินเชื่อรวมในปี 2553 เติบโตมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2552 เพราะคาดการณ์ว่าสินเชื่อในส่วนของเช่าซื้อจะเริ่มกลับมาเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก หรือมากกว่า 10%  หลังพบว่าในช่วงไตรมาส 4/2552 เริ่มเห็นความต้องการการซื้อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นจากงาน Motor Expo
                "มองหุ้นในมุมข่าว" ของ "ธณพงศ์ มีทอง" มองเรื่องสินเชื่อของ KK ซึ่งธุรกิจหลัก คือ สินเชื่อเช่าซื้อรถซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 50% แม้ปีนี้จะโตไม่มาก แต่สัญญาณของปลายปีที่ผ่านมาดีขึ้น คาดว่าปีหน้าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว น่าจะเพิ่มได้อีก สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ที่นี่มีสัดส่วนไม่มากนักประมาณ 15% ที่ผ่านมาก็พบว่าเติบโตมากกว่า 10% ถือว่าเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5% ที่เหลือเป็นสินเชื่อทั่วๆ รวมไปถึง SME และการบริหารสินทรัพย์โดยรวมของ KK ถือว่ายังดีกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ หลายๆ ส่วนได้ดูดีเกินคาด แต่ทำไมราคาหุ้นถึงได้ยังไม่ตอบรับมากนัก เพราะดูจากราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ นับว่ายังมีช่องให้ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
                ดูตัวเลขกันดีๆ นักวิเคราะห์มองว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าต่ำ แต่ที่นี่จ่ายเงินปันผลสูงสุดในกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ ปัจจุบันมี PBV ปี 2553 เพียง 0.7 เท่า ยังมีส่วนลดจากค่าเฉลี่ยกลุ่ม ธ.พ. ปี 2553 ที่ 1.5 เท่า ขณะที่แนวโน้มธุรกิจของธนาคารอยู่ในทิศทางขาขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งปัญหา NPL ลดความกังวลลงมาก ขณะที่เงินปันผลซึ่งเป็นจุดแข็งของ KK ยังสูงสุดถึง 8%-9% วันนี้ (29 ธ.ค.) หากยังไม่หาไม่เจอจะเล่นอะไรดี ดูๆ ไว้ก็ไม่เสียหายครับ
                บล.ฟิลลิป ให้ราคาพื้นฐานปี 53 ที่ 32.40 บาท พร้อมกับคำแนะนำ "ซื้อ" โดยยึดจากแนวโน้มปี 2553 ที่ผู้บริหารมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจโดยจะหันมารุกธุรกิจมากขึ้นหลังเน้นที่คุณภาพสินทรัพย์เป็นหลักในปี 2552 ซึ่งได้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2553 ขยายตัวได้ 10.2% YoY บนสมมุติฐานสินเชื่อโต 12% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคุมได้ดีทำให้ไม่ต้องตั้งสำรอง เข้ามาในระดับสูงกว่าปกติ จะทำให้ราคาพื้นฐานของปี 2553 จะอยู่ที่ 32.40 บาท/หุ้นอิงกับ P/BV ที่ 1.2 เท่า รวมทั้งคาดหมายปันผลช่วงครึ่งปีหลังในอัตรา 1 บาท/หุ้น
                บล.บีฟิท ก็แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว ประเมินมูลค่าพื้นฐานของธนาคารไว้ที่ 32.30 บาท ไม่แตกต่างมากนักกับ บล.ฟิลลิป และมองว่า KK เป็นธนาคารขนาดเล็กที่ทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากกว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไป แต่ผู้บริหารก็สามารถบริหารหนี้เสียได้ดีจนทำให้ NPL Ratio (gross) ลดลงต่อเนื่องจาก 8.5% ในไตรมาส 1 ปี 2552 เหลือ 8% ในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ตามลำดับ ขณะที่ Coverage Ratio เพิ่มขึ้นจาก 49.3% ใน 1Q09 เป็น  51.4% ใน 2Q09 และ 57% ใน 3Q09 ตามลำดับ ที่สำคัญคือ  KK นี้ให้ Dividend Yield สูงถึง 9%
                บล.เอเซียพลัส แนะนำ ซื้อ Fair Value 31.55 บาท คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2553 ยังเติบโตถึง 12% yoy จากสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้ง NIM คาดว่ายังทรงตัวได้จากปี 2552 ที่ 4.3% เนื่องจากเงินฝากและเงินกู้ยืมรวมกว่า 50% มีอายุเฉลี่ยเกิน 1 ปี ทำให้ได้รับผลกระทบต่ำกว่าคู่แข่งจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นในปี 2553 อย่างไรก็ตามแม้ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิในปี 2553 ของ KK ว่าจะลดลง 16% yoy แต่ส่วนใหญ่เป็นผลจากการตั้งสำรองหนี้ที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่ม Coverage ratio ขึ้นจากปัจจุบันที่ 57% (Coverage ratio สิ้นปี 2552 อยู่ที่ 50%) โดยแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2553 ยังมีความเป็นไปได้ที่จะสูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ หาก KK มีกำไรจากการขาย NPA ระดับสูงใกล้เคียงกับปี 2552     

Written by :
Nike_mand
 

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday1660
mod_vvisit_counterAll days1660

We have: 1658 guests online
Your IP: 216.73.216.136
Mozilla 5.0, 
Today: Dec 06, 2025

4102856