| บอร์ดอนุมัติ EJIP แนะสะสม CPF ถือยาว |
|
|
|
| Thursday, 18 March 2010 12:54 | |||
|
บอร์ดอนุมัติ EJIP แนะสะสม CPF ถือยาว แนวรับ 12.40, 12.00 แนวต้าน 13.50
มองหุ้นในมุมข่าวของ "ธณพงศ์ มีทอง" หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อุนญาตให้ CPF ย้ายจากหมวดเกษตรไปเป็นหมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 53 ซึ่งค่า พีอี ของหมวดอาหารนั้นอยู่ที่ 12.2 เท่า ขณะที่กลุ่มเดิมหมวดเกษตรอยู่ที่ 8.5 เท่า ปัจจุบัน CPF ซื้อขายที่พีอี 8.9 เท่า เมื่อเทียบกับพีอีกลุ่ม ถือว่าต่ำกว่าทั้งที่ธุรกิจดี อัตราการเติบโตสูง ล่าสุดบอร์ด CPF อนุมัติโครงการ EJIP หรือ โครงการร่วมลงทุนระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง (Employee Joint Investment Program : EJIP) โดยบริษัทที่เข้าร่วมโครงการคือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย หรือ กลุ่มซีพีเอฟ โครงการนี้จะช่วยพยุงราคาหุ้นของ CPF ให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อราคาอ่อนตัวลงมา โดยสังเกตุได้จาก CPALL เมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปแล้วก็สามารถยืนอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังชอบ CPF หลังบริษัทฯมีวิสัยทัศน์ในการมุ่งมั่นที่จะเป็น "ครัวของโลก" เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อผู้บริโภคทั่วโลก นักวิเคราะห์บล.คันทรี่กรุ๊ปกล่าวว่าจากการตรวจสอบสัญญาณทางเทคนิค CPF พบราคามีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้านเดิมที่บริเวณ 12.80 บาท ซึ่งหากผ่านไปได้มีโอกาสที่ราคาจะขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 13.50 บาท หากราคาไม่ผ่านแนวต้านแรก แนะทยอยขายทำกำไร ส่วนนักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อหุ้น CPF ให้รอจังหวะราคาอ่อนตัวจึงเข้าซื้อ ประเมินแนวรับที่ 12.40 บาท มุมมองผู้บริหาร "อดิเรก ศรีประทักษ์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ยังมั่นใจกับรายได้ในไตรมาส 1/2553 ว่ามีโอกาสเติบโตสูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 10% หลังจากช่วง 2 เดือน (ม.ค. - ก.พ.) ที่ผ่านมา มียอดขายเติบโตแล้วประมาณกว่า 10% จากการเติบโตของการส่งออกธุรกิจอาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะเกี๊ยวกุ้ง ภายใต้แบรนด์ของซีพี ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคต่างประเทศอย่างมาก รวมถึงธุรกิจการลงทุนในต่างประเทศ ที่บริษัทฯ ได้มีการเข้าไปลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ยังมีอัตราการขยายตัวที่ดี ขณะที่ธุรกิจในประเทศมีการเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากสินค้าดังกล่าวยังมีความจำเป็นที่ลูกค้าต้องบริโภค อีกทั้งตลาดที่ อินเดีย ตุรกี ก็เติบโตดี บล.ธนชาต แนะนำซื้อ โดยราคาพื้นฐานที่ 16 บาท จากแนวโน้มธุรกิจเติบโตดีขึ้น สภาวะแวดล้อมยังคงเอื้อต่อ CPF ดังนั้นปีนี้จึงเป็นปีทองอีกปีของ CPF การเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ดีทำให้อุปทานเนื้อสัตว์ในประเทศขาดแคลน ขณะที่อากาศหนาวจัดในต่างประเทศ ผลักดันการส่งออกกุ้งให้ดีมากขึ้น ขยายความได้ว่า ปี 2010 เป็นปีทองอีกปีของ CPF จากแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง คาดว่าอัตรากำไรจะเติบโต 223%y-y ในช่วง 1Q10, 45% ในช่วง 1H10 และ 14% ในปี 2010 หลังจากเติบโตมาแล้ว 235% ในปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยหลักผลักดันการเติบโตของกำไร คือ การเติบโตของยอดขาย เนื่องจากการบริโภคที่ฟื้นตัว, การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างเต็มปีจากบริษัทย่อยใหม่ของ CPF, อัตรากำไรที่ยังคงอยู่ในระดับสูง, การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม และการลดลงของภาระดอกเบี้ยจ่าย เราคาดว่าตลาดน่าจะทำการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสำหรับ CPF อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประมาณการกำไรปี 2010E ของเราสำหรับ CPF อยู่ในระดับที่สูงกว่าของตลาด 20% ส่วนการส่งออกกุ้ง มีแนวโน้มสดใสขึ้น จากการระบาดของโรคไวรัสกล้ามเนื้อขุ่น (Infectious Myonecrosis: IMN) ในอินโดนีเซีย และอากาศที่หนาวจัดในจีน ทำให้ทั้งสองประเทศขาดแคลนกุ้ง ส่งผลบวกต่อการส่งออกกุ้งไทย และจากตัวเลขของกรมศุลกากร ยังยืนยันถึงการเพิ่มขึ้นของการส่งออก โดยเดือนม.ค.การส่งออกเพิ่มขึ้น 39% ขณะที่ยังคงมีการนำเข้าจากจีนอย่างต่อเนื่องเกือบ 1,000 ตัน/เดือนจนถึงเดือนเม.ย. เนื่องจากเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกุ้ง และอาหารสัตว์รายใหญ่ที่สุด CPF จึงได้ประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อม การส่งออกกุ้งคิดเป็น 6% ของยอดขายรวม ขณะที่อาหารสัตว์น้ำ ซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงมีสัดส่วน 11% ของยอดขายรวม บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ "ซื้อ" ราคาพื้นฐาน 16.20 บาท ราคาหุ้นยังถูก P/E ปี 53 เป็น 7.5 เท่า อีกทั้งแนวโน้มการดำเนินงานก็เป็นไปอย่างแข็งแกร่ง และโอกาสในการลงทุนก็น่าดึงดูดใจ ราคาพื้นฐานให้ไว้ที่ 16.20 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 53 ที่ 11 เท่า เป็นค่าเฉลี่ย 5 ปี คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลก็อยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 6.6% สำหรับงวดปี 53 มองแนวโน้มธุรกิจสดใส โดยเฉพาะธุรกิจกุ้ง และเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการเติบโตของ CPF สืบเนื่องจากผลผลิตที่ได้รับนั้นดีขึ้น รวมทั้งยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นสินค้าประเภทกุ้งสำเร็จรูปที่ให้ผลตอบแทนสูง นับได้ว่าปีนี้น่าจะเป็นปีทองของธุรกิจกุ้งเพราะประเทศคู่แข่งที่ผลิตกุ้งส่งออกต่างประสบปัญหาในการผลิต อินโดนีเซียผู้ผลิตกุ้งอันดับหนึ่งของโลกกำลังประสบปัญหาโรค Infectious myone crosis (IMN) ระบาดในกุ้ง ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลผลิตลดลงถึง 40% ประเทศจีนเองก็เจอสภาวะอากาศที่หนาวเย็นจัด ทำให้การผลิตกุ้งเป็นไปอย่างยากลำบาก ส่วนสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ก็ยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว แต่อุปทานยังขาดแคลนอยู่
|






![]() | Today | 924 |
![]() | All days | 924 |
Comments