กรณีไข่แพง กับ ความไม่เป็นธรรมในสังคมไทย BY TDRI
|
|
|
|
Monday, 19 July 2010 15:11 |
เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ สถาบันวิจัยเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย(TDRI)
เป็นที่น่ายินดี ว่า ครม. ได้มีมติให้ยกเลิกระบบโควต้าการนำเข้าพ่อแม่พันธ์ไก่เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แต่คำถามก็คือ เรื่องเช่นนี้ทำไมต้องให้ ครม. ตัดสินใจ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะ เป็น คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) และสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ทำไมไม่ดำเนินการใดๆ แม้ปัญหาการผูกขาดพ่อแม่พันธ์ไก่ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมการ บังคับขายพ่วงไก่กับอาหารไก่ซึ่งทำให้เกษตรกรเลี้ยงไก่จำนวนมากต้องได้รับ ความเดือดร้อนนั้น มีการร้องเรียนมาเป็นเวลาหลายปี แล้ว และคำถามอีกคำถามคือ หากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นตัวแทนหรือมีผลประโยชน์เกี่ยวโยงกับกลุ่มทุน ขนาดใหญ่ที่ถูกร้องเรียน ปัญหาความเดือดร้อนของ เกษตรกรเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขหรือไม่ หรือ เกษตรกรยังคงต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพความไม่เป็นธรรมดังที่เป็นมาในอดีต
ปัญหาที่เรื้อรังของอุตสาหกรรมนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจไทย ที่ทุนขนาดใหญ่สามารถครอบงำกลไกของภาครัฐได้ การที่ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตกอยู่กับกลุ่มธุรกิจที่มีเส้นสายทางการเมืองยิ่งทำ ให้ช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยยิ่งนับวันยิ่งถ่างมากขึ้น ปัญหา ในลักษณะดังกล่าวมีอยู่ทั่วทุกมุมของเศรษฐกิจไทย กรณี “ไข่ไก่” เป็น ประเด็นขึ้นมาเพียงเพราะประเทศไทยมีลักษณะพิเศษที่มีการวัดขีดความสามารถของ รัฐบาลในการบริหารเศรษฐกิจด้วย “ราคาไข่ไก่” ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของเกษตรไก่ไข่ ทั้ง นี้ ยังมีเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยอีกจำนวนมาก ที่ได้รับความเดือดร้อนจากพฤติกรรมทางการค้าที่ส่อความไม่เป็นธรรมในหลาย สาขาธุรกิจที่รัฐไม่เคยให้การเหลียวแล
แม้การยกเลิกโควต้าการนำเข้าพ่อแม่พันธ์ไก่ไข่ครั้งนี้จะช่วยแก้ ปัญหาการผูกขาดพ่อแม่พันธ์ไก่ในตลาดได้ แต่ก็จะ สร้างปัญหาไข่ล้นตลาดและการทุ่มตลาดไข่ไก่ของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ซึ่งเป็น ปัญหาเดิมก่อนที่จะมีการนำระบบโควต้ามาใช้เพื่อจำกัดปริมาณพ่อแม่พันธ์ไก่ใน ปี พ.ศ. 2545 ทั้งนี้ ได้มีการร้องเรียนปัญหาดังกล่าวต่อสำนักแข่งขันทางการค้าตั้งแต่ในปี พ.ศ 2544[1] หากแต่ในขณะนั้นมิได้มีตรวจสอบว่ามีการทุ่มตลาดจริงหรือ ไม่อย่างจริงจัง แต่กลับมีข้อเสนอแนะให้จำกัดปริมาณ พ่อแม่พันธ์ไก่ที่นำเข้าโดยการสร้างระบบโควต้า เพื่อ จำกัดจำนวนไก่สาวและปริมาณไข่ไก่ในตลาด โดยคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่ฯ ได้กำหนดให้มีผู้ได้รับอนุญาตให้นำเข้าเพียง 9 ราย ในปี พ.ศ. 2548 บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในตลาด ได้รับการจัดสรรโควต้าถึงร้อยละ 41 ของจำนวนพ่อแม่พันธ์ไก่ที่สามารถนำเข้าได้ในแต่ละปี สัด ส่วนดังกล่าวยังคงเหมือนเดิมในปี 2553[2] การจำกัดการนำเข้าดังกล่าวยิ่งเป็นการเอื้อให้ผู้ประกอบ การรายใหญ่ยิ่งมีอำนาจผูกขาดมากขึ้นไปอีก
การผูกขาดตลาดพ่อแม่พันธุ์ไก่ส่งผลให้ราคาไก่สาว ในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[3] การที่เกษตรกรรายย่อยต้องพึ่งพาทั้งพ่อแม่พันธุ์ไก่ อาหารไก่ จากผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดไข่ไก่ด้วย จึงมีความเสี่ยงอย่างยิ่งในการถูก “บีบ” ออกจากตลาด โดยผู้ประกอบการรายใหญ่อาจขึ้นราคาไก่สาว หรือ ราคาอาหารไก่ที่ขายพ่วง (ผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายสามารถควบคุมราคาวัตถุดิบบางประเภทที่ใช้ในการ ผลิตอาหารสัตว์) ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นทุนของเกษตรกร เพิ่มขึ้นและในขณะเดียวกันก็ทุ่มราคาไข่ไก่ที่ตนผลิตได้ ทำให้รายได้จากการขายไข่ไก่ของเกษตรกรหดหายไปในขณะที่ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นส่ง ผลให้เกษตรกรต้องประสบภาวะการขาดทุน ทั้งนี้ คุณ ธนเดช แสงวัฒนกุล ผู้จัดการ หจก. อุดมชัยฟาร์ม ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจว่า เกษตรกร จำนวนมากต้องเลิกธุรกิจเพราะขาดทุนจากพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว ข้อมูลดังกล่าวตรงกับข้อมูลที่ผู้เขียนเคยรวบรวมจากกรม ปศุสัตว์ว่า จำนวนผู้ประกอบการไก่ไข่เชิงพาณิชย์ลด ลงโดยตลาด จาก 7,459 รายในปี พ.ศ. 2543 เหลือ 3,279 รายในปี พ.ศ. 2547
วิบากกรรมของเกษตรกรเลี้ยงไก่คงไม่มีทางจะหมดสิ้นไป ตราบใดที่กลไกของรัฐยังคงเข้าข้างผู้ประกอบการรายใหญ่ มากกว่าพวกเขา แม้วันนี้ปัญหาการผูกขาดพ่อแม่พันธุ์ ไก่จะสิ้นสุดลง แต่ปัญหาการผูกขาดวัตถุดิบในการผลิต อาหารสัตว์ เช่น ปลาป่น หรือ กากถั่วเหลือง ซึ่งอยู่ภายใต้ระบบโควต้าเช่นกัน หรือ ปัญหาการทุ่มตลาดราคาไข่ไก่ ก็ยังคงอยู่ และอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น
การที่กลุ่ม เกษตรกรผู้เลี้ยงไข่ไก่จำนวน 113 ฟาร์ม ในนาม บริษัท เอเอฟอี จำกัด ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่ ฯ ต่อศาลปกครองนับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะแสดงถึง การลุกขึ้นมาต่อสู้ของกลุ่มผู้ที่ถูกเอาเปรียบเพื่อให้เขาได้รับความเป็น ธรรม นอกจากนี้แล้ว กรณีนี้ น่าจะเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับปัญหาการมีส่วนได้เสียของกรรมการในคณะกรรมการ ของภาครัฐหลายแห่งที่มีส่วนได้เสียกับธุรกิจที่ตนเองกำกับ แม้ มาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฎิบัตราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ได้ห้ามกรรมการที่มีส่วนได้เสียพิจารณาทางปกครองดังนี้
มาตรา 16 ในกรณีมีเหตุอื่นใดนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 13[4] เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณา ทางปกครองซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณา ทางปกครองไม่เป็นกลาง เจ้าหน้าที่ หรือกรรมการผู้นั้นจะทำการพิจารณาทางปกครองในเรื่องนั้นไม่ได้
ผู้เขียนมีความเห็นว่าคณะกรรมการของรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่ได้จงใจละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ที่จะแก้ไขปัญหาความเดือด ร้อนของเกษตรกรแม้จะได้รับเรื่องร้องเรียนมาเป็นเวลานานนับปีก็ควรที่จะต้อง ถูกตรวจสอบในลักษณะเดียวกันเช่นกัน ภายใต้กลไกของ รัฐที่ถูกครอบงำโดยทุนขนาดใหญ่ ผู้ประกอบอาชีพราย ย่อยคงจะต้องยอมรับว่าตนเท่านั้นที่สามารถเป็นที่พึ่งแห่งตน
|
Comments