สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายวัน - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย |
![]() |
![]() |
![]() |
Tuesday, 18 September 2018 09:23 | |||
สถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ พร้อมเตือนว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก หากจีนออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ หนังสือพิมพ์โกลบอล ไทมส์ ซึ่งเป็นสื่อกระบอกเสียงรัฐบาลจีนในเครือของพีเพิล เดลี (เหรินหมินยื่อเป้า) ได้แสดงความคิดเห็นในบทบรรณาธิการว่า รัฐบาลจีนจะไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวในสงครามการค้ากับสหรัฐ นอกจากนี้ ในบทบรรณาธิการยังอ้างถึงคำกล่าวของเจ้าหน้าที่อาวุโสรายหนึ่งของจีนที่ระบุว่า จีนจะไม่เจรจากับสหรัฐ นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า เศรษฐกิจของอังกฤษจะหดตัว ถ้าหากมีการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง นอกจากนี้ ยังระบุว่า เศรษฐกิจของอังกฤษจะยังคงได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ไม่ว่าอังกฤษจะทำข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรป (EU) ในรูปใดก็ตาม ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะมีการขยายตัวเพียง 1.5% ในปีนี้และปีหน้า ซึ่งต่ำกว่าเยอรมนีและฝรั่งเศส กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ รายงานว่า ยอดส่งออกสินค้าหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนสิงหาคม โดยได้รับแรงหนุนจากยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และจอแสดงภาพที่แข็งแกร่ง ซึ่งรายงานระบุว่า ยอดส่งออกสินค้า ICT ในเดือนสิงหาคมปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.5% เทียบรายปี มาอยู่ที่ 2.019 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นการอยู่เหนือระดับ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่มีการเก็บสถิติมาในปี 2539 และยังเป็นการปรับตัวขึ้นในอัตราเลขสองหลักต่อเนื่องกัน 21 เดือน โดยยอดส่งออกชิพที่เพิ่มขึ้นถึง 30.4% ด้วยมูลค่า 1.164 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ยอดส่งออกจอแสดงภาพปรับตัวขึ้น 5.8% มาอยู่ที่ 2.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นายอี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า จีนควรเปิดกว้างตลาดการเงินมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก โดยนายอี้กล่าวว่า จีนควรสนับสนุนการเปิดกว้างอุตสาหกรรมการเงิน และผ่อนคลายข้อกำหนดให้กับผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นสถาบันการเงินต่างชาติ ขณะเดียวกัน ทางการจีนควรสร้างหลักประกันที่แน่นอนว่า มาตรการเปิดกว้างทางการเงินที่จีนเคยประกาศออกมานั้น จะมีการนำมาใช้โดยเร็วที่สุด ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดสภาพคล่องวงเงิน 2.65 แสนล้านหยวน (ประมาณ 3.86 หมื่นล้านดอลลาร์) เข้าสู่ตลาด ผ่านทางโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบ ซึ่งเงินกู้ดังกล่าวจะมีอายุ 1 ปี และคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 3.3% ทรงตัวจากการดำเนินการครั้งก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากไม่มีสัญญาเงินกู้ครบกำหนดไถ่ถอน จึงเท่ากับว่าการดำเนินการเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องสุทธิเข้าสู่ตลาดทั้งสิ้น 2.65 แสนล้านหยวน ซึ่งการดำเนินการมีขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้เริ่มอัดฉีดเงินผ่านข้อตกลง reverse repo เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ระงับการดำเนินการดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 15 วัน โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดผ่อนข้อตกลง reverse repo ทั้งสิ้น 3.30 แสนล้านหยวน นักวิเคราะห์มองว่า โครงการ MLF มีเป้าหมายที่จะลดผลกระทบจากการออกพันธบัตรของรัฐบาล การจ่ายภาษี และการประเมินตามกฎระเบียบรายไตรมาสที่ทางการจีนนำมาใช้ต่อธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งเป็นการตอบสนองความต้องการเงินสดที่เพิ่มขึ้นก่อนวันหยุดเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติของจีน ธนาคารกลางฮ่องกงได้เปิดตัวระบบการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้งานเทคโนโลยีด้านการเงิน โดยระบบดังกล่าวจะสามารถรองรับได้ทั้งการชำระเงินในสกุลดอลลาร์ฮ่องกงและเงินหยวน ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันจันทร์ (17 พ.ย.) เป็นต้นไป ประชาชนสามารถลงทะเบียนเบอร์มือถือหรืออีเมลแอ็ดเดรสกับระบบ เพื่อใช้เป็นหนังสือแทนบัญชีในการรับเงิน ทั้งนี้ ปัจจุบันมีธนาคาร 21 แห่ง และหน่วยงานด้านการค้า 10 แห่งในฮ่องกงที่ใช้งานระบบดังกล่าว เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าขององค์กร องค์การวิสาหกิจระหว่างประเทศของสิงคโปร์ (International Enterprise Singapore) รายงานว่า ยอดส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมัน (NODX) ของสิงคโปร์ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบเป็นรายปี หากเทียบเป็นรายเดือนหลังจากปรับค่าตามฤดูกาลแล้ว ยอดส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมัน NODX ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 0.4% มาอยู่ที่ระดับ 1.56 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1.135 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.6% ในเดือนกรกฎาคม โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของยอดส่งออกสินค้าในหมวดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งช่วยชดเชยการหดตัวลงของสินค้านอกหมวดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนยอดส่งออกสินค้าประเภทน้ำมันของสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 36% หลังจากขยายตัว 38.2% ในเดือนก่อน สำนักงานสถิติของอินโดนีเซียรายงานว่า ยอดขาดดุลการค้าของอินโดนีเซียในเดือนสิงหาคมปรับตัวลงสู่ระดับ 1.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าการคาดการณ์ที่ระดับ 680 ล้านดอลลาร์ อันเนื่องมาจากยอดส่งออกที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ ยอดส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัวเพียง 4.15% เทียบรายปี มาอยู่ที่ระดับ 1.582 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นายเอดูอาร์โด ซานเชส โฆษกของประธานาธิบดีเอ็นริเก เปญา นิเอโตแห่งเม็กซิโก เปิดเผยวานนี้ว่า รัฐบาลเม็กซิโกมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ฉบับใหม่ระหว่างแคนาดา สหรัฐ และเม็กซิโกได้ภายในสิ้นปีนี้
ปัจจัยต่างประเทศ (18 กันยายน 2561): ตามเวลาประเทศไทย ประเทศ ปัจจัย USA - ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ย. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) Source: https://www.ryt9.com/s/iq24/2886488
ปัจจัยในประเทศ วันที่ ปัจจัย สัปดาห์ที่ 3 - กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า - สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม,ยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ 17-18 ก.ย. - นายกรัฐมนตรี ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จ.เพชรบูรณ์ 19 ก.ย. - ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 6/2561 Source: https://www.ryt9.com/s/iq03/2880769
Money Market - ดอลลาร์/บาท วันจันทร์(17 ก.ย.) เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในเช้าวันนี้ต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อนนี้ ตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากความชัดเจนเรื่องกำหนดเวลาการจัดการเลือกตั้งทั่วไป อย่างไรก็ดี นักลงทุนมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ภายหลังจากที่มีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนล็อตใหม่ที่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ในวันจันทร์นี้ - ดอลลาร์/เยน วันจันทร์(17 ก.ย.) เงินเยนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในเช้าวันนี้ ทั้งนี้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนล็อตใหม่ที่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ในวันจันทร์นี้ ขณะที่นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ - ยูโร/ดอลลาร์ วันจันทร์(17 ก.ย.) ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนล็อตใหม่ที่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งที่นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดยังคงกดดันดอลลาร์
Capital Market - ตลาดหุ้นสหรัฐฯวันจันทร์(17 ก.ย.) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลง เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ การลดลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มค้าปลีกยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเช่นกัน ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,062.12 จุด ลดลง 0.35% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,888.80 จุด ลดลง 0.56% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,895.79 จุด ลดลง 1.43% - ตลาดหุ้นเอเชีย วันจันทร์(17 ก.ย.) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงและดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดตลาดวันนี้ร่วงลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ทั้งนี้ ดัชนีฮั่งเส็งร่วงลง 353.56 จุด หรือ 1.30% ปิดที่ 26,932.85 จุด ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตร่วง 29.85 จุด หรือ 1.11% ปิดที่ 2,651.79 จุด ด้านดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดปรับตัวลดลงเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร ประกอบกับความเป็นกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีทีท่าจะปะทุขึ้นอีกระลอก ทั้งนี้ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) ลดลง 15.24 จุด หรือ 0.66% ปิดที่ 2,303.01 จุด สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ (17 ก.ย.) เนื่องในวันผู้สูงอายุ - ตลาดหุ้นไทย วันจันทร์(17 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ปิดปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย จากความกังวลที่มีข่าวออกมาว่าจีนอาจจะไม่เจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันนักลงทุนติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธนี้ (19 ก.ย.) โดยดูว่าจะมีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,718.39 จุด ลดลง 3.82 จุด (-0.22%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 49,524.05 ล้านบาท
โดย สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประจำวันที่ 18 ก.ย. 2561
|
![]() | Today | 1034 |
![]() | All days | 1034 |
Comments