กนง.ส่งสัญญาณชัด...แนวโน้มดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้น BY ศูนย์วิจัยเคแบงก์
|
|
|
|
Wednesday, 10 March 2010 17:13 |
กนง.ส่งสัญญาณชัด...แนวโน้มดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้น บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน เรื่อง กนง.ส่งสัญญาณชัด...แนวโน้มดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้น โดยระบุว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 10 มีนาคม 2553 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ไว้ที่ 1.25% ตามเดิม ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ทั้งนี้ แม้ว่ากนง.จะมองว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในเส้นทางของการฟื้นตัว แต่ถ้อยแถลงหลังการประชุมนโยบายการเงินยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลต่อหลายๆ ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยสะดุดลงในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยทำการวิเคราะห์ผลการประชุมกนง.ในรอบนี้ พร้อมกับมีมุมมองต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะที่เหลือของปีดังนี้ :-
แถลงการณ์หลังการประชุมกนง. ...ส่งสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างชัดเจน แม้กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.25% ตามเดิม แต่นัยสำคัญจากแถลงการณ์หลังการประชุมในรอบนี้ สะท้อนให้เห็นว่า กนง.มีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยที่เป็นเชิงบวกมากขึ้น โดยระบุว่า “ความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ปรับลดลง เทียบกับการประชุมครั้งก่อน” ขณะที่ ประเมินว่า “อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะต่อไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ” นอกจากนี้ กนง. ยังระบุว่า “ความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลง ทำให้ความจำเป็นที่ต้องมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษเช่นในปัจจุบันได้ลดน้อยลงไปมาก” ซึ่งถ้อยแถลงนี้ นับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นแล้ว
มุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ตลาดการเงินไทยในช่วงก่อนการประชุมยังคงปรับตัวรับการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่เต็มที่มากนัก ดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่ยังไม่ขยับขึ้นมากนัก แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นได้เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2553 ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงถูกกดดันจากปัญหาการเมืองในประเทศ ตลอดจนการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ของความเชื่อมั่นภาคเอกชน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การคาดการณ์ต่อจังหวะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของทางการไทยยังคงมีความคลุมเครือและไม่แน่นอนสูง จังหวะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะเกิดขึ้นชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2/2553 เป็นอย่างเร็ว หากสถานการณ์การเมืองผ่านไปได้โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง (จนทำให้ความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองลดระดับลง) รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปอย่างมั่นคงมากขึ้น จากประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทย บ่งชี้ว่า แรงกดดันต่อแนวโน้มขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจเพิ่มมากขึ้นเมื่อการขยับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายไตรมาส 2/2553 เข้าสู่ช่วงไตรมาส 3/2553 ซึ่งก็จะทำให้มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงเวลานั้น อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจขยับเข้าใกล้กรอบบนของเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของธปท.ที่ 3.0% ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2553 โดยเฉพาะหากไม่มีการคุมเข้มนโยบายการเงินในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น มีความเป็นไปได้มากขึ้นว่า หากความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะข้างหน้าอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกนง.น่าที่จะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เพื่อปรับจุดยืนนโยบายการเงินจากระดับที่มีความ “ผ่อนคลายเป็นพิเศษ” ให้เป็นระดับที่ “เป็นปกติ” มากขึ้น ซึ่งก็เป็นแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย และธนาคารกลางของประเทศหลักที่ทยอยลดทอนแรงกระตุ้นทางการเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ นัยต่อตลาดการเงิน ท่ามกลางแนวโน้มและการส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมไปถึงสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของธปท.ในการประชุมรอบนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลายๆ ประเทศในเอเชีย รวมทั้งไทย จะถูกปรับขึ้นก่อนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งตลาดการเงินก็อาจจะต้องมีการทยอยปรับตัวรับการคาดการณ์วัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวในระยะข้างหน้า
นั่นก็เป็นนัยว่า อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ไทยอาจเริ่มขยับสูงขึ้น พร้อมๆ ไปกับการโน้มแข็งค่าของค่าเงินบาท ในทิศทางที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของตลาดการเงินอื่นๆ ในเอเชีย
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
|
Comments