“เงินบาทปรับตัวในกรอบที่อ่อนค่าลงขณะที่หุ้นไทยลดช่วงบวกลงท้ายสัปดาห์”byศูนย์วิจัยเคแบงก์
|
|
|
|
Monday, 29 March 2010 10:55 |
ตลาดเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นค่อนข้างทรงตัวต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน โดยธนาคารพาณิชย์มีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันอังคารและเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ รวมถึงมีการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเบิกถอนเงินสดของลูกค้าในช่วงสิ้นเดือน ขณะที่ไม่มีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อสภาพคล่องในตลาดเงินมากนัก ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) หนาแน่นทั้งสัปดาห์ที่ 1.15% ส่วนอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยที่ประมูลได้ของธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral Repo) ระยะ 1, 7 และ 14 วัน ยังคงปรับตัวใกล้ระดับ 1.25%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ประเภทอายุ 5 ปี (TH5YY) ปิดที่ระดับ 3.49% ในวันศุกร์ ขยับขึ้นจาก 3.47% เมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยโดยส่วนใหญ่ปรับขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ ตามการขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่บางส่วนมาจากแรงขายพันธบัตรของนักลงทุน ด้านตลาดพันธบัตรสหรัฐฯนั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประเภทอายุ 10 ปี (US10YY) ปิดที่ระดับ 3.88% ในวันพฤหัสบดี ปรับสูงขึ้นจาก 3.69% ในวันศุกร์ที่แล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในวันจันทร์ จากความกังวลต่อวิกฤตหนี้สินในกรีซ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันอังคารถึงวันพฤหัสบดี จากผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกมาน่าผิดหวัง ขณะที่มุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนุนการการคาดการณ์ที่ว่าอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอาจปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
เงินบาทในประเทศ (Onshore) ปรับตัวในกรอบที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ แม้เงินบาทยังคงมีปัจจัยหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง แต่เงินบาทก็ปรับตัวในกรอบที่อ่อนค่าลงเล็กน้อยตลอดทั้งสัปดาห์ โดยถูกกดดันจากแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ จากฝั่งผู้นำเข้าในช่วงใกล้สิ้นเดือน และทิศทางการอ่อนค่าของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ซึ่งสวนทางกับเงินดอลลาร์ฯ ที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทอ่อนค่ามายืนที่ระดับประมาณ 32.40 (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 มี.ค.) ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงสุดสัปดาห์
หมายเหตุ เป็นระดับปิดตลาดจาก Reuters
ในสัปดาห์นี้ (วันที่ 29 มีนาคม-2 เมษายน 2553) คงจะมีการทยอยไหลกลับของสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินหลังผ่านสิ้นเดือน ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินน่าจะทรงตัวใกล้เคียงกรอบเดิมอย่างต่อเนื่อง ส่วนเงินบาทในประเทศอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.10-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล รายงานตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.พ.ของธปท. ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ของกระทรวงพาณิชย์ สัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินของธปท. และทิศทางของสกุลเงิน/ตลาดหุ้นในภูมิภาค ขณะที่ ทิศทางของเงินดอลลาร์ฯ อาจขึ้นอยู่กับประเด็นที่ยังคงเกี่ยวเนื่องกับวิกฤตหนี้ของกรีซ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม อัตราการว่างงาน ดัชนี ISM ภาคการผลิต ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ รายงานโดย Conference Board เดือนมี.ค. ยอดสั่งซื้อของโรงงาน ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง รายได้/การบริโภคส่วนบุคคลเดือนก.พ. ดัชนีราคาบ้านเดือนม.ค.ของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ และรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
การเคลื่อนไหวของเงินเยนและเงินยูโรในสัปดาห์ที่ผ่านมา
เงินเยนอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินเยนขยับแข็งค่าขึ้นช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของแผนการให้ความช่วยเหลือกรีซจากยูโรโซน กระนั้นก็ดี เงินเยนต้องลดช่วงบวกทั้งหมดลง และปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างหนักในช่วงเวลาที่เหลือของสัปดาห์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ อาทิ ยอดขายบ้านมือสองที่หดตัวน้อยกว่าที่คาด ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2551 สำหรับในวันศุกร์ เงินเยนปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 92.51 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับ 90.53 เยนต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 มี.ค.)
เงินยูโรร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนก่อนฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย เงินยูโรปรับตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ ขณะที่ นักลงทุนซื้อคืนเงินยูโรบางส่วนก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป แต่เงินยูโรไม่สามารถรักษาช่วงบวกดังกล่าวไว้ และต้องกลับมาร่วงลงอย่างหนักในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของแผนการช่วยเหลือกรีซ นอกจากนี้ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกสลง 1 ขั้นสู่ ‘AA-‘ จาก ‘AA’ โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ ก็เป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมของเงินยูโรในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เงินยูโรฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากผู้นำยูโรโซนบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับแผนการช่วยเหลือกรีซ ซึ่งจะประกอบไปด้วยการให้เงินกู้แบบทวิภาคีจากประเทศสมาชิกยูโรโซน และเงินทุนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในสัดส่วน 2 ต่อ 1 สำหรับในวันศุกร์ เงินยูโรปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3399 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนที่ 1.3265 และระดับ 1.3531 ดอลลาร์ฯ ต่อยูโรในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 มี.ค.)
ภาวะตลาดทุน ตลาดหุ้นไทย “ดัชนี SET ลดช่วงบวกลงท้ายสัปดาห์ จากแรงขายทำกำไรระยะสั้น” ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 778.86 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.55% จาก 774.59 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า และพุ่งขึ้น 6.03% จากสิ้นปี 2552 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 18.06% จาก 135,799.06 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 160,326.61 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้นจาก 27,159.81 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 32,065.32 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 8,971.87 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิที่ 6,789.92 ล้านบาท 1,976.94 ล้านบาท และ 205.00 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 213.20 จุด ขยับลดลง 0.47% จาก 214.20 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า และ 0.98% จากสิ้นปีก่อน ดัชนีหุ้นไทยปิดลบในวันจันทร์ ด้วยมูลค่าซื้อขายกว่า 4 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบกว่า 5 เดือน ขณะที่มีแรงเทขายออกมามากในหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงาน หลังจากที่ในระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 21 เดือนที่ระดับ 787.27 จุด อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับตัวขึ้นในวันอังคาร ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน และแบงก์ รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากนั้น ดัชนีปิดปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สองของสัปดาห์ในวันพุธ จากแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มแบงก์และอสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีแรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงานออกมาช่วงท้ายตลาด แต่ไม่กระทบต่อภาพรวมการลงทุนของตลาดมากนัก ขณะที่การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยหนุนตลาด อย่างไรก็ตาม ดัชนีปิดลดลงอีกในวันพฤหัสบดี โดยมีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ แต่แรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้นกลุ่มแบงก์ ช่วยพยุงให้ดัชนีปรับตัวลงไม่มากนัก ส่วนในศุกร์ ดัชนีปิดปรับตัวลงต่อ จากแรงเทขายในหุ้นพลังงาน และแบงก์ ถ่วงให้ดัชนีปิดลดลง สวนทิศทางกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (29 มี.ค. - 2 เม.ย. 2553) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวผันผวน จากแรงขายทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุนบางส่วนหลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดัชนียังมีโอกาสขยับขึ้นได้แต่จะอยู่ในกรอบที่จำกัด โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องจับตา ได้แก่ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือนของธปท.ในวันพุธ และตัวเลขเงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์ในวันพฤหัสบดี รวมไปถึงประเด็นทางการเมือง ส่วนปัจจัยในต่างประเทศที่สำคัญ คงจะต้องติดตาม ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ การปรับตัวของตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค. ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 776 และ 767 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 790 และ 824 จุด ตามลำดับ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ “ดัชนี DJIA ปิดปรับตัวขึ้นต่อ แต่ความวิตกเกี่ยวกับภาวะหนี้สินยังคงถ่วงความเชื่อมั่นนักลงทุน” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2553 ดัชนี DJIA ปิดที่ 10,841.21 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.92% เมื่อเทียบกับ 10,741.98 จุด ปลายสัปดาห์ก่อน และพุ่งขึ้น 3.96% จากสิ้นปี 2552 ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 2,397.41 จุด ขยับตัวขึ้น 0.97% เมื่อเทียบกับ 2,374.41 จุด ปลายสัปดาห์ก่อน และพุ่งขึ้น 5.65% จากสิ้นปีก่อนหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ ขณะที่การผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯได้ยุติความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวสำหรับนักลงทุน จากนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทะยานขึ้นในวันอังคาร นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อุตสาหกรรม และกลุ่มวัสดุ ซึ่งหนุนดัชนี DJIA และดัชนี S&P 500 ให้พุ่งขึ้นสู่ระดับปิดสูงสุดในรอบ 18 เดือน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลดลงในวันพุธ ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง ขณะที่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือโปรตุเกสโดยฟิทช์ เรทติ้งส์ และการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่อ่อนแอ ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะหนี้สิน ซึ่งหนุนให้เงินดอลลาร์ฯแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร และถ่วงหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ลง ส่วนในวันพฤหัสบดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทรงตัว โดยดัชนี DJIA บวกขึ้นได้ สวนทางกับดัชนี NASDAQ และดัชนี S&P 500 ที่ปรับลง ขณะที่การประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่อ่อนแอของสหรัฐฯและความวิตกเกี่ยวกับหนี้สินทั่วโลกยังคงถ่วงความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น “ดัชนี NIKKEI ปรับตัวขึ้นแตะระดับปิดสูงสุดในรอบเกือบ 18 เดือน” เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2553 ดัชนี NIKKEI ปิดที่ 10,996.37 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.59% จากปิดตลาดที่ 10,824.72 จุด เมื่อสัปดาห์ก่อน และ 4.27% จากสิ้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโตเกียวปิดทำการในวันจันทร์เนื่องในวันหยุดประจำชาติ ต่อมาเมื่อเปิดทำการอีกครั้งในวันอังคาร ดัชนี NIKKEI ปิดปรับตัวลง โดยหุ้นออล นิปปอน แอร์เวย์ (ANA) ร่วงลง หลังสายการบินปรับเพิ่มคาดการณ์การขาดทุนรายปีขึ้นกว่า 2 เท่า จากนั้น ดัชนี NIKKEI ปิดปรับตัวขึ้นได้ในวันพุธ แต่การปรับขึ้นของดัชนีถูกจำกัดด้วยการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนเมื่อเทียบกับเงินยูโร และนักลงทุนลังเลที่จะซื้อขายจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการคลังของกรีซ อย่างไรก็ตาม ดัชนี NIKKEI ปิดปรับตัวขึ้นต่อในวันพฤหัสบดี และพุ่งขึ้นแตะระดับปิดสูงสุดในรอบเกือบ 18 เดือนในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เช่น หุ้นแอดแวนเทสท์ คอร์ป ได้รับแรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออก เช่น หุ้นแคนนอน อิงค์ ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินเยนสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ
|
Comments