| นักลงทุนไทยลุยตลาดหุ้นเมินค่าเงินผันผวน |
|
|
|
| Friday, 05 November 2010 16:34 | |||
|
ไอเอ็นจี กรุ๊ป สถาบันการเงินชั้นนำของโลก เผยข้อมูลจากรายงานการสำรวจภาวะการลงทุนรายไตรมาสว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศไทยยังคงอยู่ในแดนบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6 โดยดีดตัวพุ่งขึ้น 21% มาอยู่ที่ 154 ในไตรมาส 3/2553 จาก 127 ในไตรมาส 2/2553 ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่นักลงทุนไทยยังคงมีความมั่นใจในการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม แม้ว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและการคุกคามจากสงครามค่าเงินโลก สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเฉลี่ยของนักลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ146 ในไตรมาส 3/2553 จาก 136 ในไตรมาส 2/2553 สูงกว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับ 73 ในไตรมาส 4/2551 ถึง 100% และยังคงอยู่ในแดนบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6 ส่วนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศฮ่องกง จีน และไทยในไตรมาส 3/2553 จัดอยู่ในกลุ่มที่มีการเติบโตระดับไตรมาสสูงสุด โดยดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในฮ่องกงเพิ่มขึ้น 22% ซึ่งสูงสุด โดยอยู่ที่ 151 ในไตรมาส 3/2553 จาก 124 ในไตรมาสก่อนหน้า แซงหน้าดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวจีนที่อยู่ในระดับที่ 143 ในไตรมาส 3/2553 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2551 สำหรับประเทศไทย ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวไทยเพิ่มขึ้น 21% สูงสุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายปราเน คุปตา ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ไอเอ็นจี อินเวสท์เมนท์ แมเนจเมนท์ เอเชีย/แปซิฟิก กล่าวว่า “ข้อมูลของสหรัฐอเมริกายังคงบ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่มีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การคาดการณ์ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีการใช้มาตรการเสริมสภาพคล่อง (Quantitative Easing) เป็นแรงกดดันให้ค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกในภูมิภาคเอเชียแข็งขึ้น ทำให้ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคดังกล่าวออกมาตรการจัดการวิกฤติค่าเงินแข็งอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ และขับเคลื่อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียให้อยู่ในแดนบวก นอกจากนี้ กระแสเงินที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ในเอเชียอย่างต่อเนื่องมาจากนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคดังกล่าวมีการเติบโตอย่างโดดเด่น และทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น”
“ในประเทศจีนและฮ่องกง ความวิตกกังวลที่ลดลงของนักลงทุนเกี่ยวกับมาตรการทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดเกินไป เสริมด้วยการผ่อนคลายของมาตรการเปิดรับเงินฝากในสกุลเงินเรนมินบิในฮ่องกง เป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีดตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้” นายคุปตา กล่าวเสริม นักลงทุนชาวเอเชียเชื่อมั่นว่า ภาวะการถดถอยรอบสอง (double - dip recession) จะไม่เกิดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีการเติบโตแบบสวนกระแสตลาดโลก นักลงทุนชาวเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีทัศนะเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศตนในเชิงบวก แต่ยังคงให้ความระมัดระวังกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุนจำนวนมากขึ้น คาดการณ์ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐจะอ่อนค่าลง นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวไทยในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนไทยยังคงมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของภาคการส่งออก การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และวิกฤติการเมืองที่คลี่คลาย ยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนพุ่งสูงขึ้นในไตรมาส 3/2553” นายแมทธิว วิลเลียมส์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จีดีพีไทยที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2553 รวมถึงคาดการณ์จีดีพีทั้งปีที่ปรับสูงขึ้นถึง 7.5% เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงไทย นอกจากนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่พุ่งขึ้น 22% ในไตรมาส 3/2553 เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทยและความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทย ดังนั้น ไอเอ็นจีจึงคาดการณ์ว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยจะยังคงเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กับผลประกอบการอันโดดเด่นของตลาดหลักทรัพย์” ส่าวนผลกระทบของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่มีต่อการตัดสินใจของนักลงทุน นักลงทุนชาวไทย 54% เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีผลกระทบเชิงบวกต่อการตัดสินลงทุนในไตรมาส 3/2553 ขณะที่นักลงทุนไทย 51% มั่นใจว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีผลกระทบเชิงบวกต่อการตัดสินลงทุนในไตรมาส 4/2553 นายต่อยังได้กล่าวถึงผลกระทบของตลาดตะวันตกที่มีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวไทยว่า “ตลาดสหรัฐอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนไทย โดยความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยที่มีต่อการลงทุนในหลักทรัพย์ทั่วโลกจะได้รับอิทธิพลจากทิศทางการเติบโตของตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้น ไอเอ็นจีจึงยังคงมั่นใจว่า สภาวะถดถอยรอบสองของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากสภาวะการเงินในทั้ง 2 ภูมิภาคดังกล่าวยังคงมีลักษณะผ่อนคลาย และภาคธุรกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่ปัญหาระดับโครงสร้างในประเทศอุตสาหกรรมรายใหญ่ต่างๆ จะเป็นอุปสรรคอย่างรุนแรงในบางครั้ง และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมไอเอ็นจีจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาดเกิดใหม่มากกว่า นายวิลเลียมส์ กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนไทยจะมุ่งให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนอย่างเหมาะสม และสินทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตทางด้านเงินทุนอย่างอิสระและมีเสถียรภาพมากกว่า ซึ่งไอเอ็นจีมีความเห็นว่า ตราสารหนี้และหุ้นในตลาดเกิดใหม่เป็นช่องทางการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนในปัจจุบัน มุมมองที่แข็งแกร่งของนักลงทุนและความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่มากขึ้น เป็นสัญญาบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดการเงินในเอเชีย นักลงทุนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีผลตอบแทนการลงทุนในไตรมาส 3/2553 เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาส 2/2553 ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นายคุปตา กล่าวว่า นักลงทุนจำเป็นต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกในอีก 6 - 12 เดือนข้างหน้าอย่างรอบคอบ หากดัชนีผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกายังไม่มีการฟื้นตัว ราคาสินทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาก็จะไม่มีการฟื้นตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องใช้มาตรการเสริมสภาพคล่อง (Quantitative Easing) ในรูปของการประกาศใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ซึ่งการใช้มาตรการดังกล่าวของสหรัฐอเมริกาจะเป็นแรงกดดันให้ค่าของเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแข็งขึ้น และอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ลดลง ตลาดการเงินจะมีสภาวะถดถอย และความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะลดลง สำหรับความเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ความไร้เสถียรภาพของค่าเงินยูโรที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป (PIIGS crisis) จะยังคงปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ แม้ว่านักลงทุนไทยจะมีความเชื่อมั่น แต่ยังไม่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับในไตรมาส 4/2553 นักลงทุนชาวไทย 70% เชื่อว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.6% ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ดีของนักลงทุนที่มีต่อตลาดหลักทรัพย์ของไทย อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาเกี่ยวกับภาวะการลงทุนในไตรมาส 3/2533 พบว่า นักลงทุนยังคงเลือกรูปแบบการลงทุนที่ปลอดภัย โดยการลงทุนในทองคำ (66%) เงินสด / เงินฝาก (59%) เป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากกว่าการลงทุนในหุ้น (32%) นอกจากนี้ นักลงทุนไทย (96%) คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่า 4% และผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดหวังโดยเฉลี่ยสำหรับนักลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ 11.35% ทั้งนี้ นายต่อได้ให้ข้อคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า “ปัจจุบัน นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนล่าสุดในระดับที่สูง จึงอาจทำให้มีความคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นอีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ความคาดหวังของนักลงทุนไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกับพฤติกรรมการลงทุน ดังจะเห็นได้จากการเลือกรูปแบบการลงทุนที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการถือครองเงินสดและเงินฝากมากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ” “นักลงทุนชาวไทยจากหลากหลายกลุ่มรายได้และสินทรัพย์ยังคงเน้นการลงทุนเชิงอนุรักษ์นิยม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่ได้ต้องการสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองเท่าที่ควร นักลงทุนชาวไทยกลัวการขาดทุน และคำนึงถึงความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินลงทุนมากกว่าโอกาสที่เงินลงทุนจะเติบโต ดังนั้นจึงให้น้ำหนักกับการลงทุนในรูปแบบของเงินสดและเงินฝากในระดับสูง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเหล่านี้ต้องเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเขาไม่ได้จัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างพอเพียง ทำให้มีเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในยามเกษียณอย่างไม่พอเพียง ในกรณีดังกล่าว ผู้ให้บริการทางการเงินจึงจำเป็นต้องให้คำแนะนำเกี่ยวกับรูปแบบการลงทุนที่ถูกต้อง เพื่อให้นักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระดับความเสี่ยงของการลงทุนแต่ละประเภทและสามารถสร้างความมั่งคั่งเพื่อรองรับช่วงเวลาเกษียณอย่างมีประสิทธิภาพ”นายวิลเลียมส์ กล่าว
|






![]() | Today | 916 |
![]() | All days | 916 |
Comments