ส่งออกไปจีนเดือนกุมภาพันธ์ยังขยายตัวสูง …จีนแซงหน้าสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 1 ของไทยBYศูนย์วิจัยกสิกรฯ
|
|
|
|
Monday, 22 March 2010 12:45 |
ส่งออกไปจีนเดือนกุมภาพันธ์ยังขยายตัวสูง …จีนแซงหน้าสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 1 ของไทย
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน เรื่อง ส่งออกไปจีนเดือนกุมภาพันธ์ยังขยายตัวสูง …จีนแซงหน้าสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 1 ของไทย โดยระบุว่า การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 75 จากเดือนเดียวกันปี 2552 (YoY) ถือเป็นประเทศที่ไทยส่งออกไปมีมูลค่าสูงที่สุดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ของปีนี้ จากเดือนมกราคมที่เติบโตร้อยละ 94 (YoY) ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนในช่วง 2 เดือนแรก เติบโตร้อยละ 84.4 ทำให้จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นประเทศที่ไทยส่งออกไปมีมูลค่าสูงที่สุดในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.5 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ปีที่ผ่านมาแม้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่การส่งออกของไทยไปจีนยังทรงตัวอยู่ที่ 16.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงเพียงร้อยละ 0.4 ขณะที่การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่า 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 17.8 ทำให้มูลค่าส่งออกไปจีนต่ำกว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่มากนักราว 538 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่ามูลค่าการส่งออกไปจีนในช่วงที่เหลือของปี 2553 นี้มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะสนับสนุนให้จีนสามารถเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยได้เป็นปีแรก เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐฯ ในปีนี้แม้ว่าจะกระเตื้องขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 17.5 (YoY) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.9 แต่ยังต้องเผชิญปัญหาภาคการบริโภคของสหรัฐฯ ที่ยังอ่อนแรงตามปัญหาการว่างงานที่อยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะปรับตัวดีขึ้นแล้วก็ตาม
ความต้องการนำเข้าสินค้าของจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยังคงเพิ่มขึ้นตามแรงขับเคลื่อนของภาคการบริโภคและการลงทุนในจีนที่เติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและยอดค้าปลีกที่ยังขยายตัวระดับสูงในอัตราร้อยละ 18.5 ร้อยละ 30.5 และร้อยละ 22.1 ตามลำดับ ขณะที่ภาคส่งออกของจีนขยายตัวดีขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโตตามไปด้วย โดยการส่งออกของจีนในช่วง 2 เดือนแรกของจีนเติบโตร้อยละ 38.7 (YoY) จากที่ขยายตัวร้อยละ 17.7 ในเดือนธันวาคม 2552 (YoY) และการนำเข้าในช่วงเดียวกันขยายตัวร้อยละ 39.7 (YoY) จากที่เติบโตร้อยละ 55.9 ในเดือนธันวาคม 2552 (YoY) มูลค่าการส่งออกของจีนไปตลาดส่งออกสำคัญๆ ขยายตัวสูงขึ้นตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่ปรับตัว ดีขึ้น โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 (YoY) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 60.1) และญี่ปุ่น (ร้อยละ 34) รวมทั้งอาเซียน (ร้อยละ 53) การส่งออกที่ขยายตัวได้ดีส่งผลให้จีนมีความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้นด้วย โดยการนำเข้าของจีนจากอาเซียนในช่วง 2 เดือนแรกเติบโตร้อยละ 53 (YoY) ออสเตรเลีย (เติบโตร้อยละ 35) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 21.5) แคนาดา (ร้อยละ 8.5) สหรัฐฯ (ร้อยละ 19) และญี่ปุ่น (ร้อยละ 28)
การส่งออกของไทยไปจีน มูลค่าส่งออก : ล้าน US$ อัตราขยายตัว (%) 2552 2552 (ม.ค.-ก.พ.) 2553 (ม.ค.-ก.พ.) 2552 2552 (ม.ค.-ก.พ.) 2553 (ม.ค.-ก.พ.) เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์/ส่วนประกอบ 4,328.1 420.9 915.9 -10.24 -45.7 117.6
ยางพารา 1,556.1 227.7 465.0 -19.69 -45.4 104.2 เคมีภัณฑ์ 1,359.7 161.6 223.6 66.41 46.2 38.3 เม็ดพลาสติก 1,082.3 130.3 228.8 0.66 -25.6 75.6 ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 790.7 45.9 192.0 133.03 -12.8 318.6 ผลิตภัณฑ์ยาง 783.9 71.3 233.6 63.22 -3.6 227.6 แผงวงจรไฟฟ้า 736.1 70.4 92.6 -5.83 -45.1 31.4 น้ำมันสำเร็จรูป 664.8 99.4 79.8 -43.90 -25.0 -19.7 ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 401.8 36.3 75.8 39.58 -7.5 108.7 เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ 335.2 29.3 48.8 21.37 -26.9 66.6 รวม 16,123.9 1,758.1 3,243.3 -0.4 -35.4 84.4 ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า การส่งออกของไทยไปจีนในช่วงที่เหลือของปี 2553 มีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการคลังของจีนในปีนี้ที่ยังคงกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในจีน และอานิสงส์จากการปรับลด/ยกเลิกภาษีภายใต้ความตกลง FTA อาเซียน-จีน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายหลายด้านที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกไปจีน ได้แก่ การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลง และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจยืดหยุ่นให้เงินหยวนแข็งค่าได้มากขึ้นที่อาจชะลอความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ผลิตส่งออกของจีน คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยไปจีนมีแนวโน้มขยายตัวได้กว่าร้อยละ 40 ในช่วงครึ่งปีแรก และอัตราเติบโตอาจชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้การเติบโตของการส่งออกไปจีนทั้งปี 2553 น่าจะขยายตัวได้กว่าร้อยละ 20 เทียบกับปี 2552 ที่ลดลงร้อยละ 0.4 สรุปประเด็นสำคัญต่อการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ดังนี้
การส่งออกไปจีนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แต่อัตราการเติบโตคาดว่าจะชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากฐานเปรียบเทียบในปี 2552 ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก ตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้นเป็นลำดับจากที่ชะลอต่ำสุดในไตรมาสแรก และเศรษฐกิจต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ทำให้การส่งออกของไทยไปจีนกระเตื้องขึ้นในครึ่งหลังของปี 2552 อีกประการหนึ่งได้แก่ แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของทางการจีนเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ของจีนเนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่ายอดขายอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีสัญญาณชะลอลงก็ตาม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอลง ทำให้ความต้องการนำเข้าของจีนอาจอ่อนแรงลงตามไปด้วย
โดยภาวะเงินเฟ้อในจีนยังเร่งสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 วัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เร่งขึ้นร้อยละ 2.7 จากช่วงเดียวกันปี 2552 (YoY) สูงขึ้นจากร้อยละ 1.5 ในเดือนก่อนหน้า (YoY) ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือน โดยราคาอาหารปรับขึ้นร้อยละ 6.2 (YoY) ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ (YoY) สูงขึ้นจากร้อยละ 4.3 ในเดือนก่อนหน้า (YoY) ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองสำคัญ 70 แห่งในจีนยังคงเพิ่มขึ้น โดยเติบโตเป็นเลข 2 หลักที่ร้อยละ 10.7 ในเดือนกุมภาพันธ์ (YoY) ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี และสูง ขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 9.5 ในเดือนก่อนหน้า (YoY) เงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 2.7 ในเดือนกุมภาพันธ์ (YoY) ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงที่หักเงินเฟ้อแล้วติดลบ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ที่ร้อยละ 2.25 ซึ่งอาจทำให้ความต้องการออมของครัวเรือนลดลงและเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจผลักดันให้มีเงินไหลเข้าไปเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดสินทรัพย์มากขึ้น ซึ่งหากเงินเฟ้อยังเร่งตัวขึ้นอีกอาจทำให้ทางการจีนต้องใช้นโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไปโดยคาดว่าอาจจะอยู่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นทิศทางที่สอดคล้องไปตามนโยบายทางการเงินของประเทศต่างๆ ในเอเชียที่ต้องการควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในปีนี้ โดย ออสเตรเลีย เวียดนามและมาเลเซียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยอดขายอสังหาริมทรัพย์และบ้านของจีนในเดือนกุมภาพันธ์มีสัญญาณชะลอลงซึ่งน่าจะเป็นผลจากมาตรการเข้มงวดมากขึ้นในการขอสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยยอดขายอสังหาริมทรัพย์เติบโตร้อยละ 37 ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (YoY) ที่ขยายตัวกว่าร้อยละ 50 ส่วนยอดขายบ้านในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงร้อยละ 49 (MoM) หดตัวสูงขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 46 ในเดือนมกราคม (MoM) สะท้อนถึงสัญญาณการชะลอตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์และอาจจะส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เติบโตชะลอลงในระยะต่อไป
หากทางการจีนใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าได้มากขึ้นเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งแม้ว่าอาจส่งผลให้สินค้าส่งออกไทยแข่งขันด้านราคาดีขึ้นกับสินค้าจีนในตลาดที่สาม แต่อีกด้านหนึ่งอาจทำให้สินค้าส่งออกของจีนมีความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาลดลง ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางจากไทยอาจต้องลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าทางการจีนคงต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ รอบด้านในการปรับค่าเงินหยวน เนื่องจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคส่งออกของจีนในภาวะที่ต้นทุนการผลิตของธุรกิจรวมถึงค่าแรงงานที่เริ่มปรับสูงขึ้นตามระดับราคาสินค้า นอกจากนี้ ทางการจีนอาจต้องประเมินผลของการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาโดยการปรับขึ้นสัดส่วนเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ 2 ครั้งในช่วง 2 เดือนแรกที่มีต่อการขยายตัวของสินเชื่อและปริมาณเงินในเดือนถัดๆ ไปด้วย โดยในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อใหม่ก็ได้เริ่มชะลอลงเหลือ 700 พันล้านหยวน จากยอดสินเชื่อใหม่ในเดือนมกราคมที่อยู่ที่ 1.39 ล้านล้านหยวน ส่วนปริมาณเงินในระบบ (M2) เติบโตชะลอลงเหลือร้อยละ 25.5 (YoY) จากที่ขยายตัวร้อยละ 26 ในเดือนก่อนหน้า แต่ก็ถือว่ายังสูงกว่าเป้าหมายของทางการจีนที่ต้องการให้สินเชื่อขยายตัวร้อยละ 17 ในปีนี้
ขณะที่แรงกดดันค่าเงินหยวนมีแนวโน้มลดลงไปตามแนวโน้มที่คาดว่าการเกินดุลการค้าของจีนจะปรับลดลงไปตามความต้องการนำเข้าที่สูง ส่วนภาคส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวได้แต่ไม่สูงนักตามเศรษฐกิจคู่ค้าแกนนำหลักที่ยังฟื้นตัวอย่างไม่เต็มที่ โดยคาดว่า หากทางการจีนดำเนินนโยบายปรับค่าเงินให้แข็งค่าได้มากขึ้นคงเป็นการปรับค่าเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกมากนัก นโยบายการคลังตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนระยะ 2 ปีที่เริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ดำเนินการต่อเนื่องถึงปี 2553 วงเงินรวม 4 ล้านล้านหยวน น่าจะยังเป็นแรงกระตุ้นภาคการบริโภคและการลงทุนที่สำคัญ ขณะที่ภาคส่งออกของจีนที่แม้ว่าจะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังต้องเผชิญกับการฟื้นตัวอย่างไม่เต็มที่ ตามภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักอย่างกลุ่มจี 3 ที่เผชิญปัญหาการว่างงานในระดับสูงส่งผลให้ภาคบริโภคในสหรัฐฯ สหภายุโรป และญี่ปุ่นยังอ่อนแรง รวมถึงปัญหาหนี้สาธารณะและการขาดดุลการคลังต่อจีดีพีในระดับสูงของประเทศยุโรปหลายประเทศที่ยังกดดันให้การฟื้นตัวของสหภาพยุโรปโดยรวมเป็นไปได้อย่างช้าๆ การดำเนิน นโยบายการคลังอย่างต่อเนื่องของทางการจีนในปีนี้จึงน่าจะทำให้จีนยังมีความต้องการนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางจากประเทศเอเชียและไทยเพื่อใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในจีนที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งปัจจัยบวกจากความตกลง FTA อาเซียน-จีนที่ลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ในวันที่ 1 มกราคม 2553 ครอบคลุมสินค้าร้อยละ 90 ของการค้าระหว่างอาเซียนกับจีน ที่จะช่วยสินค้าส่งออกของไทยขยายตัวได้ดีขึ้นในตลาดจีน
สินค้าส่งออกของไทยไปจีนที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และแผงวงจรไฟฟ้า นอกจากสินค้าขั้นกลางต่างๆ เหล่านี้ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในจีนแล้ว สินค้าอุปโภคบริโภคของไทยก็มีโอกาสเติบโตได้ดีขึ้นในตลาดจีนทั้งจากอานิสงส์การลด/ยกเลิกภาษีภายใต้ FTA อาเซียน-จีน และเพื่อตอบสนองต่อความต้องการบริโภคของประชาชนจีนที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้สูงขึ้นด้วย สินค้าอาหาร/เครื่องดื่มที่มีโอกาสขยายตัวดีขึ้นในตลาดจีน เช่น น้ำผลไม้และผลไม้กระป๋องบางชนิด ไวน์ และไอศครีม ส่วนของใช้ที่คาดว่าจะเติบโตดีขึ้น เช่น กระเป๋า เครื่องหนัง เสื้อผ้า สิ่งทอ อัญมณี/เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสำอางและน้ำหอม รองรับความต้องการบริโภคภายในของประชนจีนที่เพิ่มขึ้นตามกำลังซื้อและระดับรายได้ที่สูงขึ้น แต่ผู้ส่งออกของไทยคงต้องใช้กลยุทธการเจาะตลาดจีน รวมทั้งการสร้างความแตกต่างของสินค้าทั้งด้านคุณภาพ ตอบสนองการใช้งาน ภาพลักษณ์ของสินค้า และการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้าของจีนเองและสินค้าส่งออกจากประเทศอาเซียนอื่นๆ ด้วย
สรุป การส่งออกของไทยไปจีนที่ขยายตัวสูงในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ โดยเติบโตร้อยละ 84.4 (YoY) ส่งผลให้จีนแซงหน้าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ไทยส่งออกไปมีมูลค่าสูงที่สุดในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ สัดส่วนการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 9.6 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 11.5 ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ สินค้าส่งออกหลักๆ ไปจีนที่เติบโตสูง ได้แก่ เล็กทรอนิกส์ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง คาดว่าการส่งออกไปจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้ม ขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มกลับมาเติบโตเป็นเลข 2 หลักที่ร้อยละ 10 ในปีนี้ สูงขึ้นจากที่เติบโตร้อยละ 8.7 ในปี 2552 รวมทั้งอานิสงส์การเปิดตลาดสินค้าภายใต้ FTA อาเซียน-จีนที่ภาษีสินค้าปกติเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่ต้นปีนี้ ที่จะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยไปจีนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราขยายตัวของการส่งออกไปจีนอาจชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย เนื่องจากฐานเปรียบเทียบในปี 2552 ที่มูลค่าส่งออกไปจีนค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเศรษฐกิจจีนที่เริ่มกระเตื้องขึ้นจากชะลอตัวต่ำสุดในไตรมาสแรก
อีกสาเหตุหนึ่งเนื่องจากนโยบายการเงินของทางการจีนที่คาดว่าจะเข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งกฎระเบียบในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เข้มงวดขึ้นเช่นกัน โดยมีเป้าหมายชะลอความร้อนแรงของภาคสินทรัพย์และภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าจะชะลอการเติบโตของภาคการบริโภคและการลงทุนภายในจีน และทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ และไทยชะลอตามไปด้วย เศรษฐกิจจีนที่เติบโตอ่อนแรงลงยังอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกรวมทั้งความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็น่าจะส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะต่อไป อย่างไรก็ตามการส่งออกของไทยไปจีนยังคงได้ผลดีจากการดำเนินนโยบายด้านการคลังของทางการจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ทั้งการใช้จ่ายและมาตรการด้านภาษี ทำให้คาดว่าความต้องการบริโภคและการลงทุนของจีนยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 2553 แม้จะชะลอไปบ้างตามนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการขยายตัวของภาคส่งออกของเศรษฐกิจประเทศเอเชียและไทย โดยคาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยไปจีนมีแนวโน้มขยาย ตัวได้กว่าร้อยละ 40 ในช่วงครึ่งปีแรก และอัตราเติบโตอาจชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้การเติบโตของการส่งออกไปจีนทั้งปี 2553 น่าจะขยายตัวได้กว่าร้อยละ 20 เทียบกับปี 2552 ที่ลดลงร้อยละ 0.4
นอกจากนี้ในระยะยาว นโยบายของทางการจีนที่เน้นการใช้จ่ายด้านสังคม ได้แก่ การศึกษา การรักษาพยาบาล และระบบประกันสังคม คาดว่าจะส่งผลให้ชาวจีนมีความมั่นคงทางรายได้มากขึ้น ทำให้ความต้องการออมเงินลดลงไปและต้องการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่อัตราการออมของครัวเรือนในจีนอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐฯ ดังนั้นแนวโน้มการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของชาวจีนคาดว่าจะทำให้การบริโภคภายในของจีนมีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนร้อยละ 51 ของการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2552 และจะส่งผลให้ความต้องการนำเข้าของจีนเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศในเอเชียและไทย ซึ่งนอกจากสินค้าวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลางและสินค้าทุนที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในตลาดจีนตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีนแล้ว ยังจะช่วยให้การส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยขยายตัวได้ดีขึ้น รองรับความต้องการบริโภคภายในของประชนจีนที่เพิ่มขึ้นตามกำลังซื้อและระดับรายได้ที่สูงขึ้น แต่ผู้ส่งออกของไทยต้องใช้กลยุทธการเจาะตลาดจีนและความแตก ต่างของสินค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้าของจีนและสินค้าส่งออกจากประเทศอาเซียนอื่นๆ
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
|
Comments