เร็วไปมั๊ย...โดย..นายคิดดี |
![]() |
![]() |
![]() |
Monday, 30 November 2009 12:50 | |||
เริ่มจากฝั่งการเมือง ที่ขั้วอำนาจเก่าและใหม่ ตัดสินใจที่จะชะลอท่าที ไม่เหยียบย่างเข้าพื้นที่หวงห้ามของแต่ละฝ่าย โดยกลุ่มคนเสื้อแดง หรือที่รู้กันดีในฐานะมือไม้ของอดีตนายกฯพเนจร ยินยอมด้วยความเต็มใจหรือไม่ ไม่รู้ ที่จะไม่รบกวนบรรยากาศกรุงเทพมหานคร ในช่วงเวลามหามงคล ขณะที่ นายกฯรูปหล่อ ซึ่งเพิ่งจะความแตกถึงความนิยมในการคล้องพระเครื่องเต็มคอ ก็มีคนช่วยหาทางลงให้นิ่มๆ เพื่อไม่ต้องไปร่วมประชุมหอการค้าจังหวัดทัวประเทศ ที่ จ.เชียงใหม่ ที่เป็นเสมือนเขตหวงห้ามของผู้ที่ตีตนออกห่างจากกรอบ “สี่เหลี่ยม” แค่เห็นการลดราวาศอกของท่านผู้ทรงเกรียติแค่นี้ ตลาดหุ้นไทยก็ตีปีกปรับขึ้นแบบไม่ต้องมีใครมาปั่น ทำเอานักลงทุนที่เห็นตัวแดงในพอร์ตก่อนหน้านี้ ได้โล่งใจโล่งคอกันไปบ้าง แต่แล้ว ปัจจัยจากเศรษฐกิจโลก ก็มากระชากขานักลงทุนให้สะดุ้งตื่นจากฝันหวานอีกครั้ง ทั้งการประกาศลดค่าเงินดอง ของเวียดนาม ที่หวั่นใจกันว่าจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ด้านการส่งออกสินค้าบางประเภทของไทย เพราะมีอยู่หลายตัวที่เป็นคู่แข่งกันโดยตรง ส่วนปัจจัยที่หนักสุด และไม่ได้เหวี่ยงใส่แค่ตลาดหุ้นไทย แต่ประเคนหมัดศอกไปยังตลาดหุ้น ตลาดเงิน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก คือ การที่รัฐบาลดูไบ ออกมาประกาศแผนเลื่อนชำระหนี้ ของกลุ่มดูไบ เวิลด์ ซึ่งเป็นกลจักรสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจดูไบในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากหลบเลี่ยงเบี่ยงกระสุนเจาะฟองสบู่แตกไม่ไหว การประกาศเลื่อนการชำระหนี้อย่างกระทันหันของรัฐบาลดูไบ ทำให้ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ สองบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ของโลก ประกาศปรับลดอันดับความ น่าเชื่อถือของบริษัทที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลดูไบ โดยมูดี้ส์ได้ลดอันดับความ น่าเชื่อถือของบางบริษัทลงสู่สถานะ "junk" หรือ "ขยะ" ขณะที่ เอส แอนด์ พี ระบุว่า การที่รัฐบาลดูไบประกาศปรับโครงสร้างดูไบ เวิลด์ อาจถือเป็นการผิดนัด ชำระหนี้ตามเกณฑ์ของเอสเ แอนด์ พี ไม่น่าแปลกใจ ที่ผู้คนในแวดวงเศรษฐกิจทั่วโลก จะตื่นตัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และกังวลไปต่างๆนานา แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ คู่หูเด็กนอก อย่าง รมว.คลัง กับ นายกรัฐมนตรี ของไทย ที่ไม่ทราบว่าใช้ระบบประมวลผลข้อมูลระดับไหน ถึงได้รวดเร็ว และเคาะออกมาได้ทันที ที่โดนไมค์จ่อปากว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งกรณีของเวียดนาม และดูไบ กระทบต่อไทยไม่มาก เรียกว่าคนไทยยังนั่งกระดิกเท้า ชิวๆ ได้ ขณะที่ ประเทศอื่นๆในอาเซียน และทั่วโลก กำลังจ้องเขม็งกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะเข้าใจได้ว่า เป็นสไตล์ของคนฝั่งรัฐบาล ที่ต้องพยายามสยบความตื่นตระหนก และสร้างความเชื่อมั่นด้วยการมองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ แต่การจะส่งสัญญาณอะไรออกไป อย่างน้อยน่าจะใช้เวลาใคร่ครวญ และมีข้อมูลอ้างอิงมากกว่านี้บ้าง อย่างกรณีของเวียดนาม ธรรมดาถ้าดูจากต้นปีนี้ เงินบาทก็แข็งขึ้นมาสวนทางกับ ดองเวียดนามที่อ่อนค่าลงอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเวียดนามลดค่าเงินลงไปอีกกว่า 5% จะมาบอกว่าความสามารถในการแข่งขันระหว่างเรากับเขา ยังไม่กระทบ ต้องบอกว่า ฟังได้ แต่ไม่ค่อยเชื่อ แล้วถ้าไปดูสินค้าส่งออกของเวียดนาม ที่แข่งกันบ้านเราอยู่ ก็มีทั้งข้าว อาหารแปรรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มันก็เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของบ้านเราทั้งนั้น นี่ยังไม่นับเรื่องประสิทธิภาพในการผลิต ที่หลายๆตัวเขามีสูงกว่าบ้านเราอยู่หลายช่วงตัว ถ้าคิดแทนผู้ส่งออกได้ ก็คงต้องเหนื่อยใจแทนอยู่มิใช่น้อย ขณะที่ เรื่องดูไบ ก็เช่นกัน ยอมรับว่าดีใจที่เห็นท่านผู้บริหารประเทศ ไม่ได้ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม แต่การไม่ยอมส่งสัญญาณให้ภาคเศรษฐกิจได้ระวังระไวไว้บ้างเลย ก็ดูจะเป็นการชะล่าใจเกินไป เพราะถือเป็นประเด็นใหญ่ ที่สามารถชี้เป็นชี้ตาย ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่กำลังค่อยๆเดินหน้าอย่างช้าๆในช่วงที่ผ่านมาได้เช่นกัน ก็คงต้องรอดูการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ในวันพุธนี้ ซึ่งท่านนายกฯ บอกว่า ที่ประชุมจะเอาทั้งเรื่องเวียดนาม และดูไบ ไปถกกัน ว่าจะมีข้อมูลอะไรใหม่ๆ ออกมาบ้าง ซึ่งในชั้นนี้ ไม่ได้คาดหวังให้ผลที่ออกมา จะต้องดี หรือร้าย ถึงจะเป็นที่พอใจ แต่อยากได้ผล และมุมมอง ที่ตรงกับความเป็นจริง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ ไม่ใช่พอมีอะไรเกิดขึ้น ก็รวบรัดตัดความว่าด้วยคำตอบว่า ไม่เป็นไร และไทยยังเข้มแข็งอยู่เสมอ.
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
|
![]() | Today | 1169 |
![]() | All days | 1169 |
Comments